กองทุนสยองตลาดหุ้น หลังบรรดาโบรกเกอร์เร่งเครื่องพอร์ตลงทุน เพื่อสร้างกำไรในไตรมาส 2 ให้ดีกว่าไตรมาสแรกที่ขาดทุนยับ จนทำให้ดัชนีตลาดหุ้นดีดตัวเพิ่ม ชี้เป็นการลงทุนคนละรูปแบบ เหตุกองทุนรวมเน้นถือยาว แต่งานนี้โดนเทขายระยะสั้นดันราคาหุ้นแพงขึ้น พร้อมจี้ตลท.ปรับใช้วิธีการคำนวณมูลค่าหุ้นใหม่ให้เหมาะสม โดยอิงกับอัตราผลตอบแทนเงินปันผลจากเดิมอิงพีอี เรโช เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติ และควรควบรวมกับตลาดตราสารหนี้ เพื่อประโยชน์ของนักลงทุน
นายสุชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การที่มูลค่าการซื้อขายหุ้น (วอลุ่ม)ที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส2/52นั้น เกิดจากวอลุ่มที่เกิดจากการซื้อขายพอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์ที่จะเข้ามากำไรระยะสั้น เพื่อทำให้งบการเงินของบรรดาโบรกเกอร์ไตรมาส2 นี้มีกำไร หลังจากไตรมาส1ที่ผ่านมามีผลขาดทุน ซึ่งส่วนตัวคาดว่ากำไรไตรมาส2นี้ โบรกเกอร์ที่มีพอร์ตการลงทุนจะมีกำไรจากพอร์ตลงทุน 30% แต่ก็อาจมีกำไรที่สูงกว่า 30% เมื่อเทียบกับไตรมาส1ที่ผ่านมา
ทั้งนี้จากการที่มีพอร์ตโบรกเกอร์เข้ามาลงทุนมากขึ้นนั้น ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุน เพราะ หากเข้ามาลงทุนก็จะต้องเข้ามาลงทุนในราคาที่สูง และอาจจะได้รับผลเสียหายหากโบรกเกอร์มีการขายหุ้นออกมา เพราะพอร์ตการลงุทนของโบรกเกอร์จะลงทุนในระยะสั้น แต่นักลงทุนสถาบันจะมีการลงทุนในระยะยาว
สำหรับปัจจุบันสัดส่วนการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์เพิ่มขึ้นเป็น 60% ของสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศ จากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 30% ซึ่งหากเทียบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งตลาดหลักทรัพย์ พอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์จะอยู่ที่ประมาณ 15-20% และมูลค่าของพอร์ตลงทุนโบรกเกอร์ปัจจุบันมีมูลค่า 20,000 ล้านบาท
“สภาพตลาดหุ้นไทยที่ดีขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากการไหลเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ เพราะการที่ดัชนีขึ้นได้ 19 จุด แต่นักลงทุนต่างชาติซื้อเพียง 1 พันล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นเม็ดเงินที่น้อยมาก แต่การที่ดัชนีปรับตัวดีขึ้นนั้นเกิดจากการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศ ในส่วนของพอร์ตการลงทุนระยะสั้นของโบรกเกอร์ ที่เร่งทำกำไรเพื่อปิดงบไตรมาส 2/52 ให้ออกมาดี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นทำให้สภาพตลาดหุ้นไทยมีการปิดเบือนไป แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในตลาดทุน”นายสุชีล กล่าว
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยนั้นจะมีสัดส่วนการลงทุนที่ต่ำอยู่ ซึ่ง การที่จะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในสัดส่วนที่สูงนั้นก็ต่อเมื่อ กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตที่สูง เพราะ การพิจารณาการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะประเมินจากการเติบโตของกำไรเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามจากการที่น้ำหนักของตลาดหุ้นไทยใน MSCI นั้นมีสัดส่วนที่ ต่ำลงโดยปัจจุบัน มีเพียง 2% ซึ่งส่วนตัวคาดว่าในอีก4-5 ปีข้างหน้าน้ำหนักตลาดหุ้นไทยจะต่ำกว่า 1.5% ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นมีน้ำ หนักมากขึ้นทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยิ่งน้อยลง โดยเฉพาะในการดึงดูดเม็ดเงินต่างประเทศ จากการที่สภาพคล่องการซื้อขาย การเติบโตของกำไรที่ไม่มากนัก
**แนะเปลี่ยนวิธีคำนวณราคาหุ้น
นายสุชีล กล่าวถึง มุมมองวิธีการคำนวณมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมกับตลาดหลักทรัพย์ไทย ว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯมีการใช้วิธีการคำนวณมูลค่าหุ้นโดยใช้ P/E (Price Earnings Ratio) นั้นไม่เหมาะสม โดยควรที่จะใช้วิธีคำนวณจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผล Dividend discount model หรือ DDM)มากกว่า เพราะ คำนวณโดยใช้ค่าP/Eนั้นเหมาะสำหรับประเทศที่มีการเติบโตเศรษฐกิจและกำไรของบจ.ที่สูง
ทั้งนี้ประเทศไทยนั้นมีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ทรงตัว และบจ.ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยมีการทำธุรกิจในประเทศเป็นหลักทำให้ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการซื้อขายระหว่างประเทศที่มีการเติบโตมากขึ้นอีกทั้งทำให้มีข้อจำกัดในการขยายกิจการ แต่บริษัทจดทะเบียนไทยนั้นมีการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น
ดังนั้นหากหันมาใช้วิธีการคำนวณมูลค่าหุ้นโดยใช้DDMนั้นจะเหมาะสมกว่าและทำให้นักลงทุนไม่รู้สึกผิดหวังในการลงทุนหากใช้ค่าP/E เนื่องจาก ค่าP/Eปัจจุบันตลาดหุ้นไทยต่ำ จึงมีความคาดหวังว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงในระยะอันสั้น และหากมีการหันมาใช้วิธีDDMนั้นก็จะส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่เป็นลักษณะการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นเพื่อจากที่ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตราที่สูง มากกว่าการเทรดหุ้นระยะสั้น
**เสนอตลาดหุ้นควบรวมตลาดบอนด์
นอกจากนี้ นายสุชีล กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯควรที่จะมีการควบรวมกับตลาดตราสารหนี้เพื่อให้นักลงทุนสามารถที่จะเข้ามาซื้อขายตราสารหนี้ที่สะดวกมากขึ้น จากปัจจุบันที่นักลงทุนรายย่อยยังเข้ามาลงทุนไม่มากนัก เพราะ จะต้องมีการซื้อในมูลค่าที่สูงมาก ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายตราสารหนี้จะเป็นนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก และหากตลาดหลักทรัพย์ฯมีการควบรวมกับตลาดตราสารหนี้ จะส่งผลดีกับทั้ง2ตลาดให้มีสภาพคล่องการซื้อขายมากขึ้น และทำให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนได้สะดวกมากขึ้น จากปัจจุบันที่ผลตอบแทนของบอนด์และตลาดหุ้นยังมีส่วนต่างที่สูง
**ดัชนีหุ้นวานนี้รูดลง 5.68จุด**
ด้านความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ (2มิ.ย.) ปิดตลาดที่ 574.30 จุด ลดลง 5.68 จุด หรือ -0.98% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 585.28 จุด และต่ำสุด 572.24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33ฅ326 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 133 หลักทรัพย์ ลดลง 225 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 90 หลักทรัพย์
ขณะที่เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า สถาบันขายสุทธิ 1,310.40 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ขายสุทธิ 183.66 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,494.06 ล้านบาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้มีความผันผวนมากขึ้น เริ่มมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มพลังงาน และสเปรดของปิโตรเคมีคอลทั้งสายอะโรเมติกส์และเอทีลีนที่เริ่มอ่อนลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่อิงกับน้ำมันปรับขึ้นแรงกว่าราคาผลิตภัณฑ์มีจึงแรงขายทำกำไรในกลุ่มพลังงานเป็นหลัก แต่ในส่วนของกลุ่มที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศ ทั้งธนาคารพาณิชย์ อสังหาฯ รับเหมา วัสดุก่อสร้างก็ยังยืนบวกได้ตอนนี้เพราะยังเก็งเรื่องพ.ร.ก.เงินกู้4 แสนล้านบาทซึ่งยังต้องลุ้นว่าน่าจะไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้นักลงทุนยังถือ hold หุ้นส่วนนี้
ส่วนแนวโน้มวันนี้ต้องรอดูราคาน้ำมันว่าคืนที่ผ่านมาว่าจะยังไปต่อหรือถ้ามีการอ่อนตัวลงแรงก็จ ะทำให้ตลาดมีความผันผวนในทางลงได้เพราะน้ำหนักของตลาดหุ้นไทยจะเน้น เป็นกลุ่มพลังงาน และค่าระวางเ รือต่างๆ รวมถึงราคา commodity ก็ต้องติดตาม โดยเฉพาะต้องจับตาว่าพ.ร.ก. 4 แสนล้านบาทจะขัดหรือไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่
นายสุชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การที่มูลค่าการซื้อขายหุ้น (วอลุ่ม)ที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส2/52นั้น เกิดจากวอลุ่มที่เกิดจากการซื้อขายพอร์ตการลงทุนของโบรกเกอร์ที่จะเข้ามากำไรระยะสั้น เพื่อทำให้งบการเงินของบรรดาโบรกเกอร์ไตรมาส2 นี้มีกำไร หลังจากไตรมาส1ที่ผ่านมามีผลขาดทุน ซึ่งส่วนตัวคาดว่ากำไรไตรมาส2นี้ โบรกเกอร์ที่มีพอร์ตการลงทุนจะมีกำไรจากพอร์ตลงทุน 30% แต่ก็อาจมีกำไรที่สูงกว่า 30% เมื่อเทียบกับไตรมาส1ที่ผ่านมา
ทั้งนี้จากการที่มีพอร์ตโบรกเกอร์เข้ามาลงทุนมากขึ้นนั้น ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุน เพราะ หากเข้ามาลงทุนก็จะต้องเข้ามาลงทุนในราคาที่สูง และอาจจะได้รับผลเสียหายหากโบรกเกอร์มีการขายหุ้นออกมา เพราะพอร์ตการลงุทนของโบรกเกอร์จะลงทุนในระยะสั้น แต่นักลงทุนสถาบันจะมีการลงทุนในระยะยาว
สำหรับปัจจุบันสัดส่วนการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์เพิ่มขึ้นเป็น 60% ของสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศ จากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 30% ซึ่งหากเทียบกับมูลค่าการซื้อขายทั้งตลาดหลักทรัพย์ พอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์จะอยู่ที่ประมาณ 15-20% และมูลค่าของพอร์ตลงทุนโบรกเกอร์ปัจจุบันมีมูลค่า 20,000 ล้านบาท
“สภาพตลาดหุ้นไทยที่ดีขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากการไหลเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ เพราะการที่ดัชนีขึ้นได้ 19 จุด แต่นักลงทุนต่างชาติซื้อเพียง 1 พันล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นเม็ดเงินที่น้อยมาก แต่การที่ดัชนีปรับตัวดีขึ้นนั้นเกิดจากการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศ ในส่วนของพอร์ตการลงทุนระยะสั้นของโบรกเกอร์ ที่เร่งทำกำไรเพื่อปิดงบไตรมาส 2/52 ให้ออกมาดี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นทำให้สภาพตลาดหุ้นไทยมีการปิดเบือนไป แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในตลาดทุน”นายสุชีล กล่าว
ขณะที่แนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยนั้นจะมีสัดส่วนการลงทุนที่ต่ำอยู่ ซึ่ง การที่จะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในสัดส่วนที่สูงนั้นก็ต่อเมื่อ กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตที่สูง เพราะ การพิจารณาการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะประเมินจากการเติบโตของกำไรเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามจากการที่น้ำหนักของตลาดหุ้นไทยใน MSCI นั้นมีสัดส่วนที่ ต่ำลงโดยปัจจุบัน มีเพียง 2% ซึ่งส่วนตัวคาดว่าในอีก4-5 ปีข้างหน้าน้ำหนักตลาดหุ้นไทยจะต่ำกว่า 1.5% ขณะที่ตลาดหุ้นอื่นมีน้ำ หนักมากขึ้นทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยิ่งน้อยลง โดยเฉพาะในการดึงดูดเม็ดเงินต่างประเทศ จากการที่สภาพคล่องการซื้อขาย การเติบโตของกำไรที่ไม่มากนัก
**แนะเปลี่ยนวิธีคำนวณราคาหุ้น
นายสุชีล กล่าวถึง มุมมองวิธีการคำนวณมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมกับตลาดหลักทรัพย์ไทย ว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯมีการใช้วิธีการคำนวณมูลค่าหุ้นโดยใช้ P/E (Price Earnings Ratio) นั้นไม่เหมาะสม โดยควรที่จะใช้วิธีคำนวณจากอัตราผลตอบแทนเงินปันผล Dividend discount model หรือ DDM)มากกว่า เพราะ คำนวณโดยใช้ค่าP/Eนั้นเหมาะสำหรับประเทศที่มีการเติบโตเศรษฐกิจและกำไรของบจ.ที่สูง
ทั้งนี้ประเทศไทยนั้นมีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจที่ทรงตัว และบจ.ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทยมีการทำธุรกิจในประเทศเป็นหลักทำให้ไม่ได้รับผลประโยชน์จากการซื้อขายระหว่างประเทศที่มีการเติบโตมากขึ้นอีกทั้งทำให้มีข้อจำกัดในการขยายกิจการ แต่บริษัทจดทะเบียนไทยนั้นมีการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น
ดังนั้นหากหันมาใช้วิธีการคำนวณมูลค่าหุ้นโดยใช้DDMนั้นจะเหมาะสมกว่าและทำให้นักลงทุนไม่รู้สึกผิดหวังในการลงทุนหากใช้ค่าP/E เนื่องจาก ค่าP/Eปัจจุบันตลาดหุ้นไทยต่ำ จึงมีความคาดหวังว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงในระยะอันสั้น และหากมีการหันมาใช้วิธีDDMนั้นก็จะส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศที่เป็นลักษณะการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้นเพื่อจากที่ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลในอัตราที่สูง มากกว่าการเทรดหุ้นระยะสั้น
**เสนอตลาดหุ้นควบรวมตลาดบอนด์
นอกจากนี้ นายสุชีล กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯควรที่จะมีการควบรวมกับตลาดตราสารหนี้เพื่อให้นักลงทุนสามารถที่จะเข้ามาซื้อขายตราสารหนี้ที่สะดวกมากขึ้น จากปัจจุบันที่นักลงทุนรายย่อยยังเข้ามาลงทุนไม่มากนัก เพราะ จะต้องมีการซื้อในมูลค่าที่สูงมาก ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายตราสารหนี้จะเป็นนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก และหากตลาดหลักทรัพย์ฯมีการควบรวมกับตลาดตราสารหนี้ จะส่งผลดีกับทั้ง2ตลาดให้มีสภาพคล่องการซื้อขายมากขึ้น และทำให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลตอบแทนได้สะดวกมากขึ้น จากปัจจุบันที่ผลตอบแทนของบอนด์และตลาดหุ้นยังมีส่วนต่างที่สูง
**ดัชนีหุ้นวานนี้รูดลง 5.68จุด**
ด้านความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ (2มิ.ย.) ปิดตลาดที่ 574.30 จุด ลดลง 5.68 จุด หรือ -0.98% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 585.28 จุด และต่ำสุด 572.24 จุด มูลค่าการซื้อขาย 33ฅ326 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 133 หลักทรัพย์ ลดลง 225 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 90 หลักทรัพย์
ขณะที่เมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า สถาบันขายสุทธิ 1,310.40 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ขายสุทธิ 183.66 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,494.06 ล้านบาท
น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้มีความผันผวนมากขึ้น เริ่มมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มพลังงาน และสเปรดของปิโตรเคมีคอลทั้งสายอะโรเมติกส์และเอทีลีนที่เริ่มอ่อนลง เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่อิงกับน้ำมันปรับขึ้นแรงกว่าราคาผลิตภัณฑ์มีจึงแรงขายทำกำไรในกลุ่มพลังงานเป็นหลัก แต่ในส่วนของกลุ่มที่อิงกับอุปสงค์ในประเทศ ทั้งธนาคารพาณิชย์ อสังหาฯ รับเหมา วัสดุก่อสร้างก็ยังยืนบวกได้ตอนนี้เพราะยังเก็งเรื่องพ.ร.ก.เงินกู้4 แสนล้านบาทซึ่งยังต้องลุ้นว่าน่าจะไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทำให้นักลงทุนยังถือ hold หุ้นส่วนนี้
ส่วนแนวโน้มวันนี้ต้องรอดูราคาน้ำมันว่าคืนที่ผ่านมาว่าจะยังไปต่อหรือถ้ามีการอ่อนตัวลงแรงก็จ ะทำให้ตลาดมีความผันผวนในทางลงได้เพราะน้ำหนักของตลาดหุ้นไทยจะเน้น เป็นกลุ่มพลังงาน และค่าระวางเ รือต่างๆ รวมถึงราคา commodity ก็ต้องติดตาม โดยเฉพาะต้องจับตาว่าพ.ร.ก. 4 แสนล้านบาทจะขัดหรือไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่