บิวเดอร์สมาร์ท เผยอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อร่วมทุนกับนิวซีแลนด์ พัฒนาไม้แปรรูปขายในไทย คาดได้ข้อสรุปกลางปีนี้ พร้อมลงทุนสร้างโรงงานผลิตเหล็กสังกะสีและวัตถุดิบลดต้นทุนผลิตได้ 10-15% หนุนผลงานเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 20 % เผยยอดขายนอกเพิ่มหลังตั้ง " ร็อกเวิธ" เป็นตัวแทน ส่งเสริมและจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ คาดไตรมาส 2 ต่ำกว่าไตรมาสแรก
นายสัญชัย เนื่องสิทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาร่วมทุนพัฒนาไม้แปรรูป (Wood Processing) กับบริษัท APL ของประเทศนิวซีแลนด์ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยจะเป็นลักษณะการนำเข้าไม้จากสต๊อกของบริษัทแห่งนี้ เพื่อนำมาขายในประเทศไทยเพราะผลิตภัณฑ์นี้ยังมีความต้องการปริมาณความต้องการค่อนข้างสูงแต่ปริมาณผลิตในประเทศมีน้อย คาดได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2/52 หรือกลางเดือนมิถุนายนนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมลงทุนสร้างโรงงานผลิตโครงเหล็กสังกะสีเอง จากเดิมที่ใช้การจ้างตัวแทน (OEM) ผลิต เนื่องจากเป็นสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง โดยตั้งงบลงทุนในการสร้างโรงงานและวัถตุดิบทั้งโครงการประมาณ 5-10 ล้านบาท ซึ่งในเบื้องต้นลงทุนไปแล้วประมาณ 3 ล้านบาท และยังมีแนวคิดลงทุนสร้างโรงชุปอะลูมิเนียมอีกด้วบงบลทุนประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งโครงการทั้งสองคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี52 นี้ และหากโครงการแล้วเสร็จจะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ประมาณ 10-15%
ล่าสุดหลังจากที่บริษัทได้แต่งตั้งบริษัท ร็อคเวิธ จำกัด (มหาชน) ( ROCK) เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Distributor) สำหรับการส่งเสริมและจัดจำหน่ายสินค้า ALLOY ในตลาดต่างประเทศ นอกเหนือจากประเทศอินเดียและเวียดนามเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้รายได้จากต่างประเทศของบริษัทในปีนี้จะขยับเพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวมจากปี 51 ที่มีรายได้จากต่างประเทศเพียง 3-4% และหากโครงการตามแผนทั้งหมดแล้วเสร็จจะหนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่อัตราส่วนกำไรสุทธิจะขยับเพิ่มเป็น 5-7% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 3%
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในปี 52 จะเติบโตสูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 2.42 ล้านบาท เนื่องจากความพยายามขยายตลาดในต่างประเทศ อาทิ ในประเทศอินเดียที่จะสามารถเพิ่มยอดขายและกำไรมากขึ้น โดยตั้งเป้าคำสั่งซื้อขาย (ออเดอร์) ปีนี้เพิ่มเป็น 30 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีออร์เดอร์ 15 ล้านบาท ขณะเดียวกันสินค้าที่ส่งไปยังประเทศนี้นั้นให้มาร์จิ้นสูงถึง 30-40% เทียบกับผลิตภัณฑ์ในประเทศที่มีมาร์จิ้นประมาณ 25%
นายสัญชัยกล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% จากปีก่อนที่บริษัททำรายได้รวมไว้ 406 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 25% จากปี 51 ที่มี 22% อันเป็นผลจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะผลิตนั้นมีมาร์จิ้นสูง
อย่างไรก็ตาม จากสภาพเศรษฐกิจซบส่งผลให้ภาพรวมอุปกรณ์สำนักงานมียอดขายหดลงจนเกิดภาวะการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก ทำให้บริษัทต้องหันมาปรับลดต้นทุนการผลิตในส่วนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันด้านราคาได้นอกเหนือจากคุณภาพ และการรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ในตอนนี้
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ลดลงจากไตรมาสแรกอันเป็นผลจากวันหยุดที่มีหลายวันในเดือนเมษายนประกอบกับปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ยอดขายไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
" ปกติยอดขายในช่วงไตรมาส 1-2 หรือคิดเป็นประมาณ 45% ของยอดขายรวมทั้งปี และช่วงไตรมาส 3-4 ยอดขายคิดเป็น 55% ของยอดขายรวมฯ แต่ว่าจากการชุมนุมทางการเมืองจนเกิดความวุ่นวายในเดือนเมษายนนั้นคงไม่น่าทำให้ยอดขายฟื้นตัวเร็วเหมือนในอตีต " นายสัญชัยกล่าว
นายสัญชัย เนื่องสิทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาร่วมทุนพัฒนาไม้แปรรูป (Wood Processing) กับบริษัท APL ของประเทศนิวซีแลนด์ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบไม่เกิน 100 ล้านบาท โดยจะเป็นลักษณะการนำเข้าไม้จากสต๊อกของบริษัทแห่งนี้ เพื่อนำมาขายในประเทศไทยเพราะผลิตภัณฑ์นี้ยังมีความต้องการปริมาณความต้องการค่อนข้างสูงแต่ปริมาณผลิตในประเทศมีน้อย คาดได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 2/52 หรือกลางเดือนมิถุนายนนี้
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมลงทุนสร้างโรงงานผลิตโครงเหล็กสังกะสีเอง จากเดิมที่ใช้การจ้างตัวแทน (OEM) ผลิต เนื่องจากเป็นสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูง โดยตั้งงบลงทุนในการสร้างโรงงานและวัถตุดิบทั้งโครงการประมาณ 5-10 ล้านบาท ซึ่งในเบื้องต้นลงทุนไปแล้วประมาณ 3 ล้านบาท และยังมีแนวคิดลงทุนสร้างโรงชุปอะลูมิเนียมอีกด้วบงบลทุนประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งโครงการทั้งสองคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปี52 นี้ และหากโครงการแล้วเสร็จจะสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ประมาณ 10-15%
ล่าสุดหลังจากที่บริษัทได้แต่งตั้งบริษัท ร็อคเวิธ จำกัด (มหาชน) ( ROCK) เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Distributor) สำหรับการส่งเสริมและจัดจำหน่ายสินค้า ALLOY ในตลาดต่างประเทศ นอกเหนือจากประเทศอินเดียและเวียดนามเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนให้รายได้จากต่างประเทศของบริษัทในปีนี้จะขยับเพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวมจากปี 51 ที่มีรายได้จากต่างประเทศเพียง 3-4% และหากโครงการตามแผนทั้งหมดแล้วเสร็จจะหนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่อัตราส่วนกำไรสุทธิจะขยับเพิ่มเป็น 5-7% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 3%
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในปี 52 จะเติบโตสูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 2.42 ล้านบาท เนื่องจากความพยายามขยายตลาดในต่างประเทศ อาทิ ในประเทศอินเดียที่จะสามารถเพิ่มยอดขายและกำไรมากขึ้น โดยตั้งเป้าคำสั่งซื้อขาย (ออเดอร์) ปีนี้เพิ่มเป็น 30 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีออร์เดอร์ 15 ล้านบาท ขณะเดียวกันสินค้าที่ส่งไปยังประเทศนี้นั้นให้มาร์จิ้นสูงถึง 30-40% เทียบกับผลิตภัณฑ์ในประเทศที่มีมาร์จิ้นประมาณ 25%
นายสัญชัยกล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 20% จากปีก่อนที่บริษัททำรายได้รวมไว้ 406 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 25% จากปี 51 ที่มี 22% อันเป็นผลจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะผลิตนั้นมีมาร์จิ้นสูง
อย่างไรก็ตาม จากสภาพเศรษฐกิจซบส่งผลให้ภาพรวมอุปกรณ์สำนักงานมียอดขายหดลงจนเกิดภาวะการแข่งขันค่อนข้างสูงมาก ทำให้บริษัทต้องหันมาปรับลดต้นทุนการผลิตในส่วนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันด้านราคาได้นอกเหนือจากคุณภาพ และการรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่ในตอนนี้
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ลดลงจากไตรมาสแรกอันเป็นผลจากวันหยุดที่มีหลายวันในเดือนเมษายนประกอบกับปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ยอดขายไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้
" ปกติยอดขายในช่วงไตรมาส 1-2 หรือคิดเป็นประมาณ 45% ของยอดขายรวมทั้งปี และช่วงไตรมาส 3-4 ยอดขายคิดเป็น 55% ของยอดขายรวมฯ แต่ว่าจากการชุมนุมทางการเมืองจนเกิดความวุ่นวายในเดือนเมษายนนั้นคงไม่น่าทำให้ยอดขายฟื้นตัวเร็วเหมือนในอตีต " นายสัญชัยกล่าว