xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นกู้เอกชนเสี่ยง "ปิโตร-เดินเรือ" แนะลงทุนรายตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ฟิทช์ เรทติ้งส์มองหุ้นกู้กลุ่ม "ปิโครเคมี-ธุรกิจเดินเรือ" น่าจับตา เช่นเดียวกับเซกเตอร์อสังหาฯ รายเล็ก พร้อมแนะนักลงทุน เลือกลงทุนเป็นรายตัว โดยเฉพาะบริษัทมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ชี้พลังงานน่าลงทุนที่สุด เหตุกระแสเงินสดรอการลงทุนมีสูง ด้านผู้จัดการกองทุนระบุ บอนด์เกาหลียังน่าลงทุน แต่เตือนให้เลี่ยงตราสารที่ออกโดยแบงก์พาณิชย์ คาดดอกเบี้ยอาร์/พี ขยับลงอีก 0.25% ล่าสุด ตลาดรับข่าวล่วงหน้าแล้ว

นายเลิศชัย กอเจริญรัตนกุล Senior Director Corporate/Fund บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงานสัมมนาในหัวข้อ "พันธบัตร/หุ้นกู้ ฮีโร่ตัวจริงยุคการลงทุนผันผวน" ที่จัดขึ้นในงาน Money Expo 2009 ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) ของหุ้นกู้กับพันธบัตรรัฐบาลเริ่มมีส่วนต่างกันมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความกังวลของนักลงทุนที่ยังมีอยู่ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุน ดังนั้น เมื่อดีมานด์หายไป จึงส่งผลให้ราคาสูงขึ้นตามไปด้วยเพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนมากขึ้น และปัจจัยดังกล่าว ก็ส่งผลให้สเปรดสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนหันมาให้ความสนใจออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากต้นทุนถูกกว่าการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ แต่การลงทุนในหุ้นกู้เองไม่ใช่ว่าน่าลงทุนทั้งหมด ซึ่งสถาวะในช่วงนี้ มองว่าหุ้นกู้ที่ออกโดยกลุ่มปิโครเคมีและธุรกิจเดินเรือ เป็นกลุ่มที่น่าจับตามอง เนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจปิโตเคมีอ่อนตัวลง ประกอบการกับบริโภคที่ลดลง ส่งผลให้การส่งออก ได้รับผลกระทบไปด้วย
 
ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกู้เอง นักลงทุนจะต้องพิจารณาเป็นรายตัว เพราะแต่ละบริษัทมีฐานะทางการเงินที่ต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าเซกเตอร์ใดมีความเสี่ยง แล้วจะลงทุนไม่ได้ทั้งเซกเตอร์ ซึ่งต่างจากมุมมองของผู้จัดการกองทุน ที่ออกกองทุนเพื่อเข้าไปลงทุนในหุ้นกู้ อาจจะแบบทั้งเซกเตอร์ไปเลย เนื่องจากเกรงว่าอาจจะกระทบต่อการลงทุน ดังนั้น ในส่วนของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนเอง อาจจะต้องเลือกรายตัว

"วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทุกเซกเตอร์ได้รับผลกระทบหมด แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะได้รับผลกระทบมากหรือน้อย ซึ่งในกลุ่มพลังงานเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่อาจจะน้อยกว่าเซกเตอร์อื่น เนื่องจากความต้องการใช้พลังงานยังมีอยู่ ซึ่งต่างกับรถยนต์ที่ความต้องการลดลงไป"นายเลิศชัยกล่าว

นอกจาก 2 กลุ่มที่กล่าวไปข้างต้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เองก็น่าจับตามองเช่นกัน เพราะภาพรวมของธุรกิจเปลี่ยนไปเยอะพอสมควรหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการบางส่วนโดยเฉพาะรายเล็กที่ไม่แข็งแกร่งหายไปเยอะ แต่หลังจากเศรษฐกิจฟื้นความสามารถในเชิงธุรกิจไม่เหมือนเดิม ส่วนหนึ่งเพราะธนาคารเองเริ่มเข้มงวดการปล่อยกู้มากขึ้น ดังนั้น ในช่วงนี้ จึงเห็นการแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า ซึ่งทำให้หุ้นกู้ของรายใหญ่ยังลงทุนได้ แต่ก็ต้องดูเป็นรายตัวเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ที่ออกโดยกลุ่มพลังงาน ยังเป็นหุ้นกู้ที่น่าลงทุนที่สุด เพราะกลุ่มนี้ยังมีสามารถสร้างกระแสเงินสดเพื่อรอการลงทุนได้ต่อเนื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้บริหารฝ่ายจัดการกองทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันการลงทุนในกดองทุนตราสารหนี้ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด จะเป็นกองทุนระยะสั้น ประเภทมันนี่มาร์เกต รวมถึงกองทุนตราสารหนี้ทั่วไปที่แสวงหาผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งในส่วนของมันนี่มาร์เกตเอง ส่วนใหญ่เป็นเงินลงทุนที่โยกมาจากเงินฝาก เพราะกองทุนยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า รวมถึงยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย

นอกจากนี้ กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศเกาหลีใต้เอง ก็ได้รับความสนใจด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันในตลาดมีทั้งกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลี และพันธบัตรรัฐวิสาหกิจของเกาหลีใต้ โดยทั้ง 2 ประเภทเองก็ให้ผลตอบแทนในระดับที่ต่างกัน และยังมีความเสี่ยงต่างกันด้วย และปัจจุบัน ผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจของเกาหลีใต้ ต่างกันประมาณ 1.25-1.5% อย่างไรก็ตาม การลงทุนทั้ง 2 ประเภทยังอยู่ในระดับความเสี่ยงที่สามารถลงทุนได้ และขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคน แต่ไม่แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากความเสี่ยงค่อนข้างสูงกว่า

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ นายชัชชัยมองว่า การพิจารณาดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในครั้งต่อไปวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงได้อีก 0.25% เนื่องจากมองว่าธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะยังคงให้น้ำหนักกับการบริหารค่าเงินไม่ให้ผันผวนเกินไป และต้องการดูแลอัตราเงินเฟ้อในอนาคตด้วย ทั้งนี้ ตลาดเองก็คาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะปรับลดลงเช่นกัน เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเริ่มปรับลงรับข่าวล่วงหน้าไปแล้ว

นายชัชชัยกล่าวแนะนำต่อว่า สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำให้จัดสรรเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนในมั่นนี่มาร์เกตที่มีสภาพคล่องสูงก่อนสัก 50% โดยอาจจะเลือกกองทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกู้เอกชนด้วย ส่วนที่เหลืออาจจะจัดสรรไปลงทุนในหุ้นกู้เอกชน โดยสามารถเลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยง ซึ่งหลังจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี คาดว่าจะมีปริมาณหุ้นกู้ออกมาอีกเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท

นายสันติ กีระนันทน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานพัฒนาตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ปัจจุบันช่องทางการลงทุนในหุ้นกู้สำหรับนักลงทุนรายย่อยทั่วไป ค่อนข้างยากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นตลาดซื้อขายหลักหรือตลาดรอง ซึ่งตลาดหุ้นกู้สภาพคล่องค่อนข้างน้อย หากเทียบกับพันธบัตรระยะสั้น โดยหุ้นกู้มีสภาพคล่องเพียง 30-40% ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลมีสภาพคล่องสูงถึง 70-80%

ทั้งนี้ นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ ต้องถามตัวเองว่าสามารถลงทุนได้นานแค่ไหน เพราะเราเองไม่รู้กลไกของราคาดี ดังนั้น จึงมีโอกาสผิดพลาดและผิดหวังสูง แต่ถ้าไม่แน่ใจ ก็สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกู้ได้ อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าก่อนลงทุนนอกจากจะต้องดูผลตอบแทนที่จะได้แล้ว แนะนำให้นักลงทุนบวกความเสี่ยงตามอายุของตราสารเข้าไปด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น