xs
xsm
sm
md
lg

บล.เตือนหุ้นคึกระยะสั้น ศก.โลกยังไม่ฟื้น-การเมืองไทยไม่นิ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โบรกเกอร์ ออกโรงเตือนตลาดหุ้นคึกคักแค่ระยะสั้น เหตุเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้น-การเมืองไทยไม่นิ่ง บล.ธนชาติ คาดจีดีพีไทยปีนี้ติดลบ 5% ดัชนีหุ้นไทยวิ่งไปเกิน 600 จุด พร้อมแนะจับตาผลการแก้ปัญหาสถาบันการเงิน-เศรษฐกิจสหรัฐญ ด้าน “เคที ซีมิโก้” ชี้หุ้นพลังงานยังน่าลงทุน แต่ควรหลีกเลี่ยงกลุ่มปิโตรเคมี-นิคมอุตสาหกรรม ด้านตลาดหุ้นวานนี้ ยังคึกคัก มูลค่าซื้อขายกว่า 3 หมื่นล้าน ระบุยอดซื้อขายนักลงทุนต่างชาติ ตั้งแต่ต้นปี 52 มียอดซื้อสุทธิแล้ว 686 ล้านบาท และมาร์เกตแคปรวมทะลุ 4.20 ล้านล้านบาท

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต จำกัด กล่าวในงานสัมมนา “วิเคราะห์ เจาะหุ้นเด่น” ว่า บริษัทได้คาดการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2552 จะมีอัตราการขยายตัวติดลบประมาณ 5% โดยได้รับผลกระทบจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวและสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย

ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดทุนนั้น ในช่วงสัปดาห์นี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใกล้ระดับ 530 จุด แต่ภายในสิ้นปีนี้คงจะเคลื่อนไหวไม่เกิน 600 จุด เพราะไม่มีปัจจัยในระยะกลางและยาวที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ บวกกับการเมืองยังอึกครึม
“ภาวะตลาดหุ้นที่ดีขึ้นเป็นเพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น จากมาตรการระยะสั้นกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่เริ่มเห็นผล แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่นานจะกลับเข้าสู่ภาวะปกตะ หรือมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยที่ 1 หมื่นล้านบาท”

สำหรับภาคการผลิตในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มมีการเดินเครื่องผลิตอีกครั้ง หลังจากได้หยุดการผลิตไปเมื่อไตรมาส 4/51 แต่ประเมินว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เพราะภาพรวมการบริโภคยังถือว่าไม่ดี

“ต้องจับตาดูทิศทางเศรษฐกิจโลกในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า รวมถึงความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินสหรัฐฯ และภาคการผลิตที่แท้จริง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่อาจมีส่งผลกระทบไปถึงตัวเลขหนี้เสียของสถาบันการเงิน และปัญหาการว่างงานที่จะสูงขึ้น” นายพิชัยกล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเข้าซื้อ โดยรอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าสู่ในช่วงปรับฐานก่อน บนพื้นฐานในการพิจารณาเลือกหุ้นของธุรกิจ 3 ปัจจัยหลักคือ 1.ลักษณะของธุรกิจที่ผูกขาดและมีผู้แข่งขันในประเภทเดียวกันน้อยราย เพราะธุรกิจดังกล่าวสามารถจะมีอัตราทำกำไรได้ค่อนข้างสูง 2.ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต 3. ผู้บริหารของธุรกิจ รวมทั้งต้องคำนึงถึงราคาที่เหมาะสมในการตัดสินใจลงทุน

นางสาววราภรณ์ วิบูลคณารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ จำกัด กล่าวว่า หุ้นกลุ่มพลังงานยังเป็นกลุ่มที่น่าลงทุน โดยเฉพาะบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เนื่องจากลักษณะธุรกิจผูกขาด ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง กำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งผู้บริหารเป็นที่ยอมรับในธุรกิจ รวมถึงกลุ่มสื่อสาร บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANCE) ที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง และมีโอกาศการขยายตัวทางธุรกิจที่ดี

นอกจากนี้ ยังแนะนำหุ้นกลุ่มเดินเรือ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) เพราะได้รับปัจจัยบวกจากราคาสิ้นค้าโภคภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะทำให้มีการขนส่งสินค้ากลับมาคึกคึกอีกครั้ง ตลอดจนบริษัทดังกล่าวมีการทำสัญญาเช่าเรือในระยะยาวเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจ

ส่วนกลุ่มที่นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงในภาวะเศรษฐกิจซบเซา คือ กลุ่มปิโตรเคมี เนื่องจากเป็นช่วงขาลงอีก 2 ปี โดยในระยะใกล้ๆ นี้จะยังไม่มีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาเพิ่มเติม อย่างไรก็ดีแม้ว่าผลิตภัณฑ์จะมีส่วนต่างราคาที่ขยับขึ้น แต่ธุรกิจประเภทนี้ยังไม่มีเสถียรภาพที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันอีกกลุ่มที่ควรหลักเลี่ยงนะเป็นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ยังไม่มีการลงทุนใหม่อันเป็นผลมาจากได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่หดตัว

***ต่างชาติซื้อสุทธิแล้ว 686 ล้าน***
ด้านบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (7 พ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 535.76 จุด หลังจากนั้นได้มีแรงเทขายกดดันให้ดัชนีลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ 523.28 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 527.72 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 4.57 จุด หรือคิดเป็น 0.87% มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 30,357.84 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 969.93 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 145.70 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,115.64 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปี 2552 กลับมาเป็นซื้อสุทธิทั้งสิ้น 686.38 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ 4.20 ล้านล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 117 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 6 บาท หรือคิดเป็น 5.41% มูลค่าการซื้อขาย 3,391.04 ล้านบาท บมจ.ปตท. ราคาปิด 212 บาท ราคาปิดไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 2,916.17 ล้านบาท และบมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ราคาปิด 15.40 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 1.91% มูลค่าการซื้อขาย 1,472.42 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น