ธอส.เรียกประชุมด่วน "ผู้จัดการสาขา" ทั่วประเทศ สั่งชี้แจงลูกค้าไม่ให้ตื่นตระหนก กรณีพนักงานสาขาเซ็นต์หลุยส์ ยักยอกเงินแบงก์ 400 ล้านบาท ยันไม่ได้ยักยอกจากบัญชีของลูกค้า พร้อมกำหนดมาตรการเข้ม โดยจับตากลุ่มที่มีลักษณะติดหนี้พนันฟุตบอล หรือมีการใช้จ่ายเกินรายได้ ป้องกันปัญหาเกิดซ้ำ พร้อมยอมรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น คาดตามยึดคืนได้แน่ 200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ อาจเรียบร้อยโรงเรียนสมเกียรติ
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยภายหลังเรียกประชุมผู้จัดการสาขา ธอส.ทั่วประเทศ โดยระบุว่า ตนเองได้กำชับและให้ดูแลเรื่องพฤติกรรมการทำงานของพนักงาน ธอส.ทุกสาขาอย่างใกล้ชิด หลังจากเกิดเหตุและตรวจพบการกระทำของนายสมเกียรติ ปัญญาวรคุณเดช พนักงานธุรกิจสาขาอาวุโส ธอส.ประจำสาขาเซนต์หลุยส์ 3 ยักยอกทรัพย์เงินของธนาคารกว่า 400 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายขรรค์ ยืนยันว่า ตนเองขอให้ผู้จัดสาขาแต่ละแห่งทั่วประเทศได้ชี้แจงลูกค้าผู้ฝากเงินในวันจันทร์นี้ (4 พฤษภาคม 2552) เพื่อไม่ให้เกิดการตื่นตระหนก โดยปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นการยักยอกทรัพย์ของธนาคาร ไม่ได้มีการยักยอกทรัพย์จากบัญชีของลูกค้าแต่อย่างใด เพราะเป็นบัญชีรายจ่ายของธนาคารที่เตรียมดอกเบี้ยไว้จ่ายผู้ฝากเงิน
“ผู้กระทำความผิด คือ นายสมเกียรติ ได้โอนเงินจากบัญชีของ ธอส. เข้าบัญชีของตนเอง เป็นเงินของธนาคารไม่ใช่ของลูกค้า โดยต้องยอมรับว่า แต่ละเดือนมีเงินเตรียมจ่ายดอกเบี้ยแก่ลูกค้า 1,800-1,900 ล้านบาท ปีละประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท ให้อำนาจพนักงานมี PASSWORD โอนเงินเข้าบัญชีลูกค้า เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการบริการ ดังนั้น หากโอน 10-20 ล้านบาทก็จะไม่พบความผิดปกติ อย่างไรก็ตามจากนี้ไปจะเข้มงวดมากยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ ยังได้ให้ผู้จัดการสาขากับไปดูความผิดปกติในการทำงานในสาขาของตนเองอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นมาอีก โดยเฉพาะควรตรวจสอบความผิดปกติในระดับต่างๆ และให้ดูไปถึงพฤติกรรมพนักงานของแต่ละคน เช่น มีลักษณะติดหนี้พนันฟุตบอล หรือมีการใช้จ่ายเกินรายได้หรือไม่ หากพบข้อสงสัยก็ให้มีการโยกย้ายไม่ให้มีการทำงานเกี่ยวข้องกับบัญชีต่างๆ ต่อไป
โดยผลการตรวจสอบกรณีของนายสมเกียรติ พบว่า เป็นหนี้พนันบอล กว่า 40 ล้านบาท และมีการนำเงินไปซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม จากการประชุมติดตามทรัพย์สินในขณะนี้ คาดว่าจะได้คืนทั้งในรูปเงินสด และทรัพย์สินต่างๆ กว่า 200 ล้านบาท ซึ่ง ธอส.จะพยายามติดตามให้ได้มากที่สุด แม้ว่าอาจจะได้ไม่ครบทั้ง 400 ล้านบาทก็ตาม
นายขรรค์ กล่าวอีกว่า คดีที่เกิดขึ้นส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธนาคารอย่างมาก และไม่ต้องป้อนกันให้เกิดขึ้นอีก ซึ่งที่ผ่านมา มีการตรวจสอบการดำเนินการบัญชีรายจ่ายดอกเบี้ยและส่วนต่างๆ ปีละ 1 ครั้ง โดยได้มีการตรวจสอบไปแล้วเมื่อกลางปี 2551 แต่ไม่พบความผิดปกติ
"ต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ ธอส.ทำพลาด เพราะดูแต่การทำงานของแต่ละสาขา แต่ไม่ได้ดูไปถึงบัญชีเงินฝากของพนักงาน ดังนั้น จากนี้ไปคงจะต้องมีการตรวจสอบบัญชีเงินฝากของพนักงาน ธอส.ทั่วประเทศด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้อีก"
ทั้งนี้ หากมีการเปิดชื่อบัญชีด้วย ราชชื่อของคนอื่นก็คงตรวจสอบได้ยาก แต่ก็จะหาแนวทางป้องกันให้ดีที่สุด โดยในวันนี้ (3 พฤษภาคม 2552) ธอส.จะมีการประชุมและตั้งคณะกรรมการทั้งตรวจสอบ และพิจารณาแนวทางป้องกันปัญหา ซึ่งมาตรการที่จะทำได้อีกแนวทางหนึ่ง คือ การป้องกันการเข้าถึงข้อมูลของพนักงานที่คงต้องมีระดับชั้นการเข้าถึงข้อมูล เพื่อป้องกันปัญหาการยักยอกเงิน