พาณิชย์ รายงานสถานการณ์หมูแพงให้ ครม.รับทราบ พร้อมยอมรับ มหันตภัยไข้หวัดเม็กซิโก ส่งผลให้ราคาหมูอ่อนตัวลง เพราะคนกลัวการติดเชื้อ คาด ราคาหมูในประเทศจะเข้าสู่ภาวะปกติในเดือน พ.ค.นี้ ย้ำการบริโภคหมูในประเทศยังปลอดภัย
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ทางกรมได้นำข้อมูลด้านการผลิตและการบริโภคเนื้อหมู รายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังจากสถานการณ์ราคาเนื้อหมู มีการปรับราคาสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง จากการผลิตที่ลดลง 3 แสนตัวในปีนี้ ทำให้ปริมาณเนื้อหมูในท้องตลาดมีน้อย และลูกหมูโตช้า เนื่องจากการประเมินสถานการณ์ มั่นใจว่า ราคาเนื้อหมูจะเข้าสู่ภาวะปกติได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2552 นี้
อย่างไรก็ตาม นายยรรยง ยอมรับว่า กระแสข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดเม็กซิโก (ไข้หวัดหมู) ได้ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาของผู้บริโภคทำให้ไม่กล้าบริโภคเนื้อหมู ซึ่งจะส่งผลต่อราคาให้ปรับลดลงเร็วกว่ากำหนดตามวัฏจักรเดิม ที่ราคาเนื้อหมูมักจะมีราคาแพงกว่าปกติในช่วงหน้าร้อน
“กรมการค้าภายใน ยืนยันว่า การบริโภคเนื้อหมูที่ผลิตในประเทศจะไม่เป็นอันตราย โดยได้มีการประสานกับหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ประชาชนตื่นตระหนกจนไม่กล้าบริโภค ส่งผลกระทบต่อระบบการค้าของประเทศ”
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการประชุม ครม.วันนี้ โดยระบุว่า ที่ประชุมได้หยิบยกปัญหาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกมาหารือว่าจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคสุกรในประเทศหรือการส่งออกหรือไม่
ส่วนการบริโภคในประเทศ นางพรทิวา กล่าวว่า ที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ เร่งทำความเข้าใจว่า ไม่ควรวิตกกังวลการบริโภคสุกรภายในประเทศ โดยที่ประชุมให้ไปดูการนำเข้าเครื่องในสุกรจากต่างประเทศว่าจะต้องมีมาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบอย่างไรก็ตาม ยืนยันสุกรในประเทศมีความปลอดภัยสูง
ส่วนสาเหตุทำให้ราคาสุกรในประเทศสูงขึ้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เนื่องจากปริมาณลูกสุกรมีน้อย สุกรโตช้า ผู้ประกอบการแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหว จึงหยุดกิจการชั่วคราว
“เท่าที่ตรวจสอบเป็นระบบกลไกตลาด และเชื่อว่า ราคาจะแพงไปอีกอย่างน้อย 2-3 เดือน แต่เมื่อทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติ ราคาสุกรจะปรับลดลง”
ขณะที่ช่วงนี้ กระทรวงพาณิชย์ มีแนวทางช่วยเหลือลดค่าครองชีพผ่านโครงการธงฟ้าต่างๆ ที่จะจัดมุมหมูธงฟ้าราคาถูกกว่าท้องตลาด ซึ่งได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในรับไปดูแล ส่วนหน่วยงานเกี่ยวข้องต้องหามาตรการช่วยเหลือผู้เลี้ยงสุกรที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง โดยกระทรวงการคลังและกระทรวงเกษตรฯ รับไปพิจารณา เพื่อให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ในช่วงสุกรราคาแพง ผู้บริโภคก็สามารถหันไปบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแทน เช่น ไก่ ปลา และเนื้อชนิดอื่น
