xs
xsm
sm
md
lg

บจ.โหมออกหุ้นกู้-บี/อีช่วงQ2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โบรกเกอร์คาดบริษัทจดทะเบียน 25 แห่ง เตรียมออกหุ้นกู้และตั๋วB/E เสริมภาพคล่องในไตรมาส 2นี้ และมีโอกาสเห็น กนง.ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ0.75%ในช่วงปลายปี ย้ำนักลงทุนเน้นหุ้นสภาพคล่องดี ด้านดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ฝันค้าง หลังช่วงเช้าดีดตัวตามภูมิภาค แต่กลับถูกม็อบถ่อยป่วนฉุดดัชนีวูบในช่วงบ่าย เพิ่มขึ้นแค่0.50 จุด สมาคมนักวิเคราะห์แนะชะลอการลงทุน ส่วนตลาดหลักทรัพย์ฯวอนไข่แม็วอย่าป่วนการประชุมที่พัทยา พร้อมเตรียมปรับลดเป้าบจ.ใหม่จากเดิม 46 แห่ง แต่มั่นใจมากกว่าปีก่อน

นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP และอุปนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนประมาณ 25 แห่ง เตรียมจะการออกหุ้นกู้และออกตั๋วเงินระยะสั้น (B/E) ในไตรมาส 2 นี้ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจของตน หลังภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจนทำให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยเงินกู้กับบริษัทต่างๆ มากขึ้น

ทั้งนี้ จากผลสำรวจในไตรมาส 1/52 พบว่ามีบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 35 แห่ง ได้ออก B/E แล้วมูลค่า 1 แสนล้านบาท และปรากฏว่ามีบจ.อีก 15 แห่งที่ออกหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 8 หมื่นล้านบาท รวมมูลค่าทั้งหมด 1.8 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 0.75% ในช่วงปลายปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอัตราดอกเบี้ย 1.25% ขณะเดียวกันเชื่อว่าในปี2553 มีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นอีก หลังรัฐบาลหันมาใช้แหล่งเงินกู้ในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนประเมินว่าจะเริ่มเห็นตลาดหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า

อย่างไรก็ตามทางบริษัทฯ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่มีสภาพคล่องดี และมีความสามารถจ่ายเงินปันผลได้ในเกณฑ์ที่สูง ซึ่งจะสังเกตุได้จากการนำกระแสเงินสดของบริษัทจดทะเบียนแห่งนั้นมาลบด้วยหนี้สินทั้งหมดแล้วถ้าผลที่ออกมาไม่ติดลบก็ถือว่ามีสภาพคล่องที่ดี

โดยหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นกลุ่มโรงกลั่น PTTAR BCP กลุ่มถ่านหิน BANPU กลุ่มขนส่ง TTA PSL กลุ่มสื่อ BEC MCOT กลุ่มค้าปลีก BIGC MAKRO CPALL และกลุ่มโรงไฟฟ้า RATCH และEGCO

ส่วนหุ้นกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง นักลงทุนควรสังเกตุหากนำตัวเลขเงินสดหักหนี้สินแล้วผลปรากฏว่าติดลบนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงนั่นคือ หุ้นกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ CCET KCE กลุ่มน้ำมันปาล์ม LST CPI กลุ่มยานยนต์ AH YNP IHL

ขณะที่ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้ (9เม.ย.) สำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ปิดตลาดดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.50 จุด มาปิดที่ 444.07 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 13,296.50 ล้านบาท โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 451.03 จุด แต่พอมีข่าวกลุ่มเสื้อแดงปิดถนนทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ในแดนลบจนปิดตลาด ซึ่งมีจุดต่ำสุดที่ 442.98 จุด

ทั้งนี้ พบว่า มีเพียงนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยถึง 598.51 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ -363.01 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ -235.51 ล้านบาท

**ตลท.เซ็งเสื้อแดงกระทบความเชื่อมั่น**
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ยังเป็นความกังวลของนักลงทุน และนักธุรกิจ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องการให้การชุมนุมมีผลกระทบต่อการประชุมอาเซียน +3 และอาเซียน +6 ที่พัทยา เพราะการประชุมอาเซียนครั้งนี้มีความสำคัญ อยากเห็นความร่วมมือกัน หากกระทบต่อการประชุมจะมีผลต่อเศรษฐกิจเช่นกัน เพราะขณะนี้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวมากกว่าประเทศอื่น ๆแล้ว

**ทบทวนบจ.ใหม่เข้าจดทะเบียน**
ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทบทวนเป้าหมายของบริษัทใหม่ที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯใหม่อีกครั้ง จากเดิมที่กำหนดเป้าหมายว่าจะมีบริษัทเข้าจดทะเบียนจำนวน 46 แห่ง เนื่องจากภาวะตลาดโดยรวมไม่เอื้ออำนวย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการนำเสนอขายหุ้น โดยจะนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ตลท.เพื่อพิจารณาก่อน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้

“ในปีนี้น่าจะมีบริษัทจดทะเบียนไม่ต่ำกว่าปีก่อน ที่มี 11 บริษัท เนื่องจากมีบริษัทที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. จำนวน 10 บริษัท และในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทเข้าจดทะเบียนแล้วจำนวน 4 บริษัทใน เอ็ม เอ ไอ”

**แนะชะลอลงทุนในช่วงนี้**
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า สมาคมฯ ยังคงไม่ทบทวนเป้าหมายของดัชนีหุ้นไทย ซึ่งคาดว่าสิ้นปีอยู่ที่ 495 จุด เนื่องจากสถานการณ์ต่าง ๆ ยังอยู่ในการคาดการณ์ ทั้งปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก และปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น โดย ยังเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้ชะลอการลงทุน เพื่อติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หรือรอซื้อทยอยสะสมหุ้นที่มีพื้นฐานดีบริเวณแนวรับที่ 430 จุด

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการส่วนวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน บล.เคจีไอ(ประเทศไทย)กล่าวว่า แนวโน้มวันนี้คงจะเป็นปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก หากปัจจัยภายในประเทศคลายความกังวลลงและมีการเปิดถนนให้จราจรเคลื่อนไปตามปกติ แนวโน้มที่ดัชนีจะอยู่ในกรอบ 440-450 จุดก็ยังคงมีอยู่ แต่ถ้าความกังวลภายในยังมีอยู่ ก็จะมีแรงขายทำกำไร เนื่องจากราคาปรับขึ้นมาสูงแล้ว โดยให้ดัชนีอาจลงมาทดสอบ 440 และ 438 จุดได้
กำลังโหลดความคิดเห็น