สถาบันวิจัยนครหลวงไทย แนะทางออก "เศรษฐกิจ-ธุรกิจไทยทำอย่างไรไม่ให้ติดลบ" จากมาตรการใส่เงินกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และก้อนล่าสุดอีก 1.4 ล้านล้านบาท จะส่งผลดีระยะยาวต่อภาคธุรกิจของไทยและกระตุ้นจีดีพีให้ดีขึ้นจากที่ติดลบอยู่ 0.8% คาดเห็นผลชัดหลังไตรมาส 4
นายสุกิจ อุดมสิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย เปิดเผยในการเสวนา หัวข้อชี้ทางออกเศรษฐกิจ ธุรกิจไทยทำอย่างไรไม่ให้ติดลบ ว่าวงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ที่รัฐจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจนี้ จะส่งผลดีในระยะยาวกับภาคธุรกิจไทย ในการกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีที่ปรับตัวดีขึ้นจากปัจจุบันที่ติดลบอยู่ 0.8% ผลกระทบจากภาคการส่งออกที่ลดลง 15-20% และราคาน้ำมันปรับลดมาที่ 45-50 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล คาดเห็นภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจนช่วงหลังไตรมาส 4 จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ขณะนี้ถือว่ากำลังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐทยอยนำออกมา ทั้งในส่วนของเงินกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนแรก 1.5 แสนล้านบาท และการแจกเงิน 2,000 พันบาท รวมถึงเงินก้อนหลังที่กล่าวมาข้างต้น
" มองว่ารัฐบาลชุดใหม่นั้นมีแนวคิดที่เข้มแข็ง แต่โจทย์ในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เข้ามากลับยากลำบาก เราจึงต้องให้เวลาในการหาเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยรัฐแก้ปัญหาครั้งนี้ ซึ่งตัวเลขจีดีพีจะดีหรือแย่นั้นขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และต้องให้เวลาเพราะผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจค่อนข้างรุนแรง " นายสุกิจกล่าว
นายเอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ คณบดีและประธานโครงการสร้าง "CFO มืออาชีพ" คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยนครหลวงไทย เปิดเผยว่ามาตรการที่รัฐนำออกมากระตุ้นนั้นจะต้องให้เกิดประโยชน์กับภาคการลงทุนมากกว่าภาคการบริโภค เนื่องจากภาคการลงทุนเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วและเกิดสภาพคล่องส่งผลดีต่อตัวเลขจีดีพีที่จะกลับมาอยู่ในระดับที่ดีและไม่ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ มาตราการที่ออกมาต้องมีจุดหมายการลงทุนว่าจะนำไปลงทุนในอุตสาหกรรมใด และเงินที่นำมากระตุ้นนั้นมาจากช่องทางใดเพราะอาจทำให้เกิดหนี้สาธารณะขึ้นได้ ซึ่งไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 1.17 แสนล้านดอลล่าร์ หรือ 36 ล้านล้านบาทถือว่าเพียงพอต่อการนำออกมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งการนำเงินก้อนนี้มาใช้ จะส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่าเก็บไว้โดยไม่เกิดประโยชน์ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติขึ้นมา เพื่อสร้างการลงทุนในประเทศเหมือนที่หลายประเทศใช้ในปัจจุบัน
นายสุกิจ อุดมสิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย เปิดเผยในการเสวนา หัวข้อชี้ทางออกเศรษฐกิจ ธุรกิจไทยทำอย่างไรไม่ให้ติดลบ ว่าวงเงิน 1.4 ล้านล้านบาท ที่รัฐจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจนี้ จะส่งผลดีในระยะยาวกับภาคธุรกิจไทย ในการกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีที่ปรับตัวดีขึ้นจากปัจจุบันที่ติดลบอยู่ 0.8% ผลกระทบจากภาคการส่งออกที่ลดลง 15-20% และราคาน้ำมันปรับลดมาที่ 45-50 ดอลล่าร์ต่อบาร์เรล คาดเห็นภาพเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจนช่วงหลังไตรมาส 4 จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ขณะนี้ถือว่ากำลังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐทยอยนำออกมา ทั้งในส่วนของเงินกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนแรก 1.5 แสนล้านบาท และการแจกเงิน 2,000 พันบาท รวมถึงเงินก้อนหลังที่กล่าวมาข้างต้น
" มองว่ารัฐบาลชุดใหม่นั้นมีแนวคิดที่เข้มแข็ง แต่โจทย์ในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เข้ามากลับยากลำบาก เราจึงต้องให้เวลาในการหาเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยรัฐแก้ปัญหาครั้งนี้ ซึ่งตัวเลขจีดีพีจะดีหรือแย่นั้นขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และต้องให้เวลาเพราะผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจค่อนข้างรุนแรง " นายสุกิจกล่าว
นายเอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ คณบดีและประธานโครงการสร้าง "CFO มืออาชีพ" คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ที่ปรึกษา สถาบันวิจัยนครหลวงไทย เปิดเผยว่ามาตรการที่รัฐนำออกมากระตุ้นนั้นจะต้องให้เกิดประโยชน์กับภาคการลงทุนมากกว่าภาคการบริโภค เนื่องจากภาคการลงทุนเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วและเกิดสภาพคล่องส่งผลดีต่อตัวเลขจีดีพีที่จะกลับมาอยู่ในระดับที่ดีและไม่ต่ำกว่าคาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ มาตราการที่ออกมาต้องมีจุดหมายการลงทุนว่าจะนำไปลงทุนในอุตสาหกรรมใด และเงินที่นำมากระตุ้นนั้นมาจากช่องทางใดเพราะอาจทำให้เกิดหนี้สาธารณะขึ้นได้ ซึ่งไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ที่ 1.17 แสนล้านดอลล่าร์ หรือ 36 ล้านล้านบาทถือว่าเพียงพอต่อการนำออกมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งการนำเงินก้อนนี้มาใช้ จะส่งผลดีต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่าเก็บไว้โดยไม่เกิดประโยชน์ รวมทั้งการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติขึ้นมา เพื่อสร้างการลงทุนในประเทศเหมือนที่หลายประเทศใช้ในปัจจุบัน
