"พอล ครุกแมน" เตือนแผนฟื้นศก.สหรัฐ-ยุโรป ยังไม่แกร่งพอ แนะเพิ่มวงเงินสูงถึง 4% ของ GDP โดยอัดฉีดเม็ดเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 1 ปี ไม่ใช่ 8 แสนดอลลาร์ ภายใน 3 ปี
สำนักข่าวต่างประเทศ ราบงานว่า พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่เมืองบรัสเซล เบลเยี่ยม โดยแสดงความเห็นว่า รัฐบาลสหรัฐฯ และยุโรป ควรเพิ่มวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ประมาณ 4% ของตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) โดยเฉพาะยุโรปที่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินที่ต่ำเกินไป ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจยุโรปไม่อาจหลุดพ้นภาวะถดถอยได้
"ความเห็นของผมก็คือทั้งสหรัฐและยุโรปควรเพิ่มวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ถึง 4% ของตัวเลขจีดีพี แต่จนถึงขณะนี้สหรัฐไม่ได้ดำเนินนโยบายที่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะที่ยุโรปก็ดำเนินมาตรการได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสหรัฐ ซึ่งการดำเนินการที่หละหลวมเช่นนี้จะทำให้เราตกอยู่ในอันตราย"
ครุกแมน ยังกล่าวด้วยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ควรอยู่ที่ระดับการอัดฉีดเม็ดเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 1 ปี ส่วนในยุโรปน่าจะอยู่ที่ 5 แสนล้านดอลลาร์ ในระยะเวลา 1 ปี แต่การที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 8 แสนล้านดอลลาร์ ในระยะเวลากว่า 3 ปี ถือว่ายังพยายามไม่มากพอ เพราะวงเงินควรจะสูงถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ และยุโรปก็ควรใช้วงเงิน 4 แสนล้านยูโร หรือ 5.20 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะเท่ากับ 3.3% ของตัวเลขจีดีพี
"ตอนนี้ คงต้องยอมรับว่า ปัญหาของยุโรป คือ การที่ระบบไม่สามารถมีแกนหลักในการควบคุมความเสียหายของเศรษฐกิจได้ เพราะไม่มีการวางระบบเอาไว้แต่แรกว่า จะต้องใช้อำนาจส่วนกลาง"
การแสดงความเห็นของครุกแมนมีขึ้นหลังจากสหภาพยุโรป (อียู) ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 2 แสนล้านยูโร หรือประมาณ 2.60 แสนล้นดอลลาร์ หรือคิดเป็น 3.3% ของตัวเลขจีดีพีของ 27 ชาติสมาชิกอียู ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ วางแผนใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสัดส่วน 2%ของตัวเลขจีดีพีในปี 2552 และ 1.8%ของตัวเลขจีดีพีในปีหน้า
