เครือข่ายผู้บริโภคคัดค้านการขึ้นค่าบริการผ่านท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ให้กับ ปตท. ส่งผลกระทบประชาชนรับภาระค่าไฟฟ้า สูงถึง 4,500 ล้านบาทต่อปี ย้ำ ปตท.ไม่มีสิทธิ์นำค่าใช้จ่ายการลงทุนระบบท่อส่งก๊าซมาคำนวณเป็นฐานรายได้ของตัวเอง เพราะคำพิพากษาศาลชี้ทรัพย์สินที่ใช้อำนาจมหาชนและเงินลงทุนของรัฐก่อนแปรรูปเป็นสมบัติของแผ่นดิน
วานนี้ (9 มี.ค.) ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมด้วย นายศุภกิจ นันทะวรการ นักวิชาการมูลนิธินโยบายสุขภาวะ นางสาวบุญยืน ศิริธรรม และนายสุวิช วัฒนารมย์ เครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันตก ร่วมกันแถลงข่าวคัดค้านการปรับขึ้นค่าบริการผ่านท่อส่งก๊าซธรรมชาติหรือค่าผ่านท่อก๊าซที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติอนุมัติให้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 17.74 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 21.76 บาทต่อล้านบีทียู หรือปรับเพิ่มขึ้น 2.02 บาทต่อล้านบีทียู
นางสาวสารี กล่าวว่า บริษัท ปตท.ได้เสนอขอคิดค่าผ่านท่อก๊าซเพิ่มเติมอีกทั้งๆ ที่อัตราที่เรียกเก็บอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอัตราที่สูงเกินควรและเป็นภาระค่าไฟฟ้ากับประชาชนถึง 4,500 ล้านบาทต่อปี และที่สำคัญคือ ท่อก๊าซเหล่านี้ไม่ใช่ของ ปตท.ตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ดังนั้น ทาง กกพ.ไม่ควรทำตัวเป็นตรายางอนุมัติปรับขึ้นค่าบริการผ่านท่อให้ ปตท.เพิ่มอีก และความจริงแล้วควรจะลดลงด้วยซ้ำ
“การปรับขึ้นค่าท่อก๊าซซึ่ง กกพ.ได้ให้ความเห็นชอบไปแล้ว เป็นการคิดค่าบริการที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมสำหรับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง มีการเอาเงินลงทุนที่เป็นของรัฐมาคำนวณเป็นต้นทุนของ ปตท.หรือไปเอาโครงการท่อก๊าซในอนาคตที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความต้องการพลังงานที่แท้จริงมาคำนวณด้วย ถือเป็นสูตรการคำนวณค่าบริการที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนเป็นอย่างมาก ถ้าถอดปัจจัยเหล่านี้ออกไปจากสูตรการคำนวณ คิดว่าค่าท่อก๊าซจะต่ำกว่าที่เก็บอยู่ในปัจจุบันด้วยซ้ำ จึงอยากจะเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาคัดค้านการประกาศใช้อัตราค่าผ่านท่อดังกล่าว เพราะสุดท้ายจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เก็บจากประชาชนต้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางสาวสารี กล่าว
เลขาธิการมูลนิธิผู้บริโภค กล่าวต่อว่า การปรับขึ้นค่าบริการท่อก๊าซฯครั้งนี้ ทาง กกพ.ใช้วิธีเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต โดยกำหนดให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 16 มี.ค.นี้ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวประชาชนยังขาดความเข้าใจและขาดข้อมูล การเปิดรับฟังความเห็นจึงมีข้อสังเกตว่าเป็นเพียงการสร้างภาพว่าได้เปิดรับฟังแล้วเท่านั้น
นางสาวสารี กล่าวต่อว่า ตามที่ ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2550 ให้แบ่งแยกทรัพย์สินของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมและอำนาจมหาชนของรัฐ จาก ปตท.คืนให้แก่รัฐนั้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินคืนให้แก่แผ่นดินเมื่อเดือน ธ.ค.2551 มูลค่ารวมทั้งสิ้น 16,176.22 ล้านบาท
แต่จากการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรี พบว่า มีการโอนทรัพย์สินไม่ถูกต้อง โดยบริษัท ปตท.ยังต้องคืนทรัพย์สินเพิ่มเติมอีกจำนวน 32,612 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยก่อนที่จะมีแปรรูปมาเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
นอกจากนั้น ยังพบว่า ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นหลังจากการแปรรูปบริษัท ปตท.ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2544 มูลค่าสูงถึง 157,102 ล้านบาท ไม่มีการโอนคืนแก่รัฐแต่อย่างใด ทั้งที่ทรัพย์สินทั้งหมดนี้ได้มาด้วยการใช้อำนาจมหาชน บริษัท ปตท.จะต้องคืนให้แก่รัฐตามคำพิพากษาของศาลด้วยเช่นกัน
สำหรับการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เฉพาะระบบท่อส่งก๊าซที่ก่อสร้างก่อนการแปรรูป ในปัจจุบัน พบว่ามีมูลค่าสูงสุดถึง 112,500 ล้านบาท หรือต่ำสุดประมาณ 86,730 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่น้อยกว่าที่ ปตท.คืนให้กับรัฐอย่างชัดเจน
นายศุภกิจ นันทะวรการ นักวิชาการมูลนิธินโยบายสุขภาวะ กล่าวว่า การขยายการลงทุนระบบท่อก๊าซของ บมจ.ปตท.เชื่อมโยงกับการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ของกระทรวงพลังงาน เนื่องจากโรงไฟฟ้าเป็นผู้ใช้ก๊าซหลักถึงร้อยละ 70 โดยแผน PDP ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ซึ่งในเดือน ก.พ.2552 มีการตรวจสอบโดยสังคมจนพบเงื่อนงำปัญหาหลายด้าน ทั้งการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าที่สูงมาก การจำกัดทางเลือกโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก และปัญหาธรรมาภิบาลในการวางแผนและตัดสินใจ ซึ่งนำมาสู่การกำหนดสร้างโรงไฟฟ้าโดยไม่จำเป็นและเป็นภาระให้กับผู้บริโภคไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท
วานนี้ (9 มี.ค.) ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค พร้อมด้วย นายศุภกิจ นันทะวรการ นักวิชาการมูลนิธินโยบายสุขภาวะ นางสาวบุญยืน ศิริธรรม และนายสุวิช วัฒนารมย์ เครือข่ายผู้บริโภคภาคตะวันตก ร่วมกันแถลงข่าวคัดค้านการปรับขึ้นค่าบริการผ่านท่อส่งก๊าซธรรมชาติหรือค่าผ่านท่อก๊าซที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติอนุมัติให้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 17.74 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 21.76 บาทต่อล้านบีทียู หรือปรับเพิ่มขึ้น 2.02 บาทต่อล้านบีทียู
นางสาวสารี กล่าวว่า บริษัท ปตท.ได้เสนอขอคิดค่าผ่านท่อก๊าซเพิ่มเติมอีกทั้งๆ ที่อัตราที่เรียกเก็บอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอัตราที่สูงเกินควรและเป็นภาระค่าไฟฟ้ากับประชาชนถึง 4,500 ล้านบาทต่อปี และที่สำคัญคือ ท่อก๊าซเหล่านี้ไม่ใช่ของ ปตท.ตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด ดังนั้น ทาง กกพ.ไม่ควรทำตัวเป็นตรายางอนุมัติปรับขึ้นค่าบริการผ่านท่อให้ ปตท.เพิ่มอีก และความจริงแล้วควรจะลดลงด้วยซ้ำ
“การปรับขึ้นค่าท่อก๊าซซึ่ง กกพ.ได้ให้ความเห็นชอบไปแล้ว เป็นการคิดค่าบริการที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมสำหรับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง มีการเอาเงินลงทุนที่เป็นของรัฐมาคำนวณเป็นต้นทุนของ ปตท.หรือไปเอาโครงการท่อก๊าซในอนาคตที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความต้องการพลังงานที่แท้จริงมาคำนวณด้วย ถือเป็นสูตรการคำนวณค่าบริการที่เอารัดเอาเปรียบประชาชนเป็นอย่างมาก ถ้าถอดปัจจัยเหล่านี้ออกไปจากสูตรการคำนวณ คิดว่าค่าท่อก๊าซจะต่ำกว่าที่เก็บอยู่ในปัจจุบันด้วยซ้ำ จึงอยากจะเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาคัดค้านการประกาศใช้อัตราค่าผ่านท่อดังกล่าว เพราะสุดท้ายจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่เก็บจากประชาชนต้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางสาวสารี กล่าว
เลขาธิการมูลนิธิผู้บริโภค กล่าวต่อว่า การปรับขึ้นค่าบริการท่อก๊าซฯครั้งนี้ ทาง กกพ.ใช้วิธีเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต โดยกำหนดให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 16 มี.ค.นี้ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวประชาชนยังขาดความเข้าใจและขาดข้อมูล การเปิดรับฟังความเห็นจึงมีข้อสังเกตว่าเป็นเพียงการสร้างภาพว่าได้เปิดรับฟังแล้วเท่านั้น
นางสาวสารี กล่าวต่อว่า ตามที่ ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2550 ให้แบ่งแยกทรัพย์สินของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ในส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดินเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมและอำนาจมหาชนของรัฐ จาก ปตท.คืนให้แก่รัฐนั้น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินคืนให้แก่แผ่นดินเมื่อเดือน ธ.ค.2551 มูลค่ารวมทั้งสิ้น 16,176.22 ล้านบาท
แต่จากการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรี พบว่า มีการโอนทรัพย์สินไม่ถูกต้อง โดยบริษัท ปตท.ยังต้องคืนทรัพย์สินเพิ่มเติมอีกจำนวน 32,612 ล้านบาท โดยทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยก่อนที่จะมีแปรรูปมาเป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
นอกจากนั้น ยังพบว่า ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นหลังจากการแปรรูปบริษัท ปตท.ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2544 มูลค่าสูงถึง 157,102 ล้านบาท ไม่มีการโอนคืนแก่รัฐแต่อย่างใด ทั้งที่ทรัพย์สินทั้งหมดนี้ได้มาด้วยการใช้อำนาจมหาชน บริษัท ปตท.จะต้องคืนให้แก่รัฐตามคำพิพากษาของศาลด้วยเช่นกัน
สำหรับการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เฉพาะระบบท่อส่งก๊าซที่ก่อสร้างก่อนการแปรรูป ในปัจจุบัน พบว่ามีมูลค่าสูงสุดถึง 112,500 ล้านบาท หรือต่ำสุดประมาณ 86,730 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่น้อยกว่าที่ ปตท.คืนให้กับรัฐอย่างชัดเจน
นายศุภกิจ นันทะวรการ นักวิชาการมูลนิธินโยบายสุขภาวะ กล่าวว่า การขยายการลงทุนระบบท่อก๊าซของ บมจ.ปตท.เชื่อมโยงกับการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ของกระทรวงพลังงาน เนื่องจากโรงไฟฟ้าเป็นผู้ใช้ก๊าซหลักถึงร้อยละ 70 โดยแผน PDP ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 ซึ่งในเดือน ก.พ.2552 มีการตรวจสอบโดยสังคมจนพบเงื่อนงำปัญหาหลายด้าน ทั้งการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าที่สูงมาก การจำกัดทางเลือกโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก และปัญหาธรรมาภิบาลในการวางแผนและตัดสินใจ ซึ่งนำมาสู่การกำหนดสร้างโรงไฟฟ้าโดยไม่จำเป็นและเป็นภาระให้กับผู้บริโภคไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท