แบงก์กรุงเทพรุก ขยายฐานบัตรเครดิตผ่านลูกค้าแบงก์ ยันยังไม่ปรับเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำเพราะมีการสกรีนลูกค้าเข้มงวดอยู่แล้ว ชี้เศรษฐกิจชะลอส่งผลตลาดบัตรเครดิตซบเซา พร้อมตั้งทีมดูแลพฤติกรรมการใช้จ่ายลูกค้าเพิ่มหวั่นหนี้เสียพุ่ง ด้านแบงก์นครหลวงไทยตั้งเป้าขยายฐานบัตรเครดิตเพิ่ม 20% ระบุลูกค้าหันจ่ายหนี้แบบเต็มจำนวนมากขึ้น
นายโชค ณ ระนอง ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารในปีนี้จะเน้นการขยายฐานบัตรเครดิตผ่านลูกค้าเดิมของธนาคารที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนด ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการรวมอยู่ประมาณ 15 ล้านบัญชี โดยในขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้มีการปรับเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครบัตรเครดิตขึ้นแต่อย่างใดเนื่องจากธนาคารมีความเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติอยู่แล้ว
ทั้งนี้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ธนาคารไม่ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตในส่วนของธุรกิจบัตรเครดิตไว้ แต่เชื่อว่าการทำธุรกิจคงมีการเติบโตขึ้นบ้างแต่ไม่หวือหวาเท่ากับในช่วงที่ผ่านมาเพราะผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้นจะไม่ได้มีระยะเวลาแค่ 3 หรือ 6 เดือนเท่านั้น แต่คาดว่าจะมีการขยายวงกว้างไปเรื่อยๆทำให้ตอนนี้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตมีความระมัดระวังในการทำธุรกิจมากขึ้น โดยในส่วนของการทำกิจกรรมกระตุ้นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรในปีนี้คงจะมีให้เห็นน้อยลง เนื่องจากต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายลง
'แผนเราปีนี้เน้นบริการลูกค้าแบงก์เป็นหลัก และก็มีการเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อบัตรเครดิตเพราะปัญหาเศรษฐกิจคงจะมีผลกระทบในวงกว้าง เราไม่รู้ว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ แต่การที่เราจะเข้าไปเจาะลูกค้าเดิมที่ใช้บริการ กับแบงก์อยู่แล้วนั้นจะมีปัญหาอยู่ด้านหนึ่ง คือเรื่องของรายได้ของลูกค้าว่าเป็นอย่างไรและเข้าเกณฑ์หรือไม่ แต่ส่วนดีคือเราจะสามารถเห็นธุรกรรมของลูกค้าและประเมินความน่าเชื่อถือได้'
สำหรับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรของธนาคารช่วง 2 เดือนแรกนั้นมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 13-14% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาส 4 ของปีก่อนซึ่งมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 14-15% จึงยังไม่เห็นสัญญาณ ลดลงที่ชัดเจนนัก โดยขณะนี้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเฉลี่ยต่อบัตรต่อเดือนของธนาคารอยู่ที่ 9,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ให้ความสำคัญ กับการดูแลจัดการคุณภาพหนี้มากขึ้น โดยได้มีการจัดทำแผนเกี่ยวกับการจัดการหนี้เสีย ซึ่งจะเป็นการหาแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นด้วยการให้คำปรึกษาและผ่อนปรนในการชำระหนี้ให้ลูกค้าสามารถชำระหนี้คืนได้
นอกจากนี้ยังได้ตั้งหน่วยงานเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลในเรื่องพฤติกรรมของลูกค้าในการใช้จ่ายและการชำระหนี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะมีผลด้านความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือไม่
'ในภาวะแบบนี้เราต้องมีความระวังมาก ขึ้น ต้องดูพฤติกรรมลูกค้าว่าเป็นอย่างไร ส่วน การระมัดระวังของเรานั้นอาจทำเกี่ยวกับเรื่องของวงเงิน คือไม่เพิ่มวงเงิน หรือการขอเพิ่มวงเงินชั่วคราวก็ต้องดูเรื่องพฤติกรรมให้ดีว่ามีโอกาสจะเป็นหนี้เสียหรือไม่ซึ่งอีกส่วนที่ จะนำมาใช้ได้คือการลดวงเงินแต่ตอนนี้ยัง ไม่ได้สรุปว่าถ้ามีปัญหาแล้วจะใช้วิธีไหน ส่วนพฤติกรรมการชำระหนี้ตอนนี้เป็นการชำระแบบเต็มจำนวน 50% และผ่อนชำระ 50%'
นายโชคกล่าวในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางชมรมธุรกิจบัตรเครดิตได้มีการประชุมและเลือกประธานชมรมคนใหม่แล้ว ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกนายสุขดี จงมั่นคง เข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
แหล่งข่าวจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายจะขยายฐานบัตรเครดิตเพิ่มอีก 20% จากปัจจุบันมีฐานบัตรเครดิตอยู่ที่ 200,000 บัตร และยังไม่มีการปรับเกณฑ์ รายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครขึ้น ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรนั้นหากเป็นบัตรคลาสสิกจะมียอดการใช้จ่ายต่อบัตรต่อเดือนอยู่ที่ 4,000-5,000 บาท ส่วนลูกค้าบัตรแพลทินัมจะมียอด การใช้จ่ายอยู่ที่ 15,000-16,000 บาท
ส่วนในด้านการติดตามหนี้นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเพิ่มทีมงานแต่อย่างใด เนื่องจากภาพรวมของคุณภาพหนี้ในตอนนี้ยังเป็นปกติ แต่ธนาคารก็มีมาตรการในการติดตามหนี้ให้มีความรวดเร็วขึ้น ส่วนพฤติกรรมการชำระหนี้ ในขณะนี้มีการชำระแบบเต็มจำนวนมากขึ้น
นายโชค ณ ระนอง ผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานธุรกิจบัตรเครดิตของธนาคารในปีนี้จะเน้นการขยายฐานบัตรเครดิตผ่านลูกค้าเดิมของธนาคารที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนด ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้าที่ใช้บริการรวมอยู่ประมาณ 15 ล้านบัญชี โดยในขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้มีการปรับเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครบัตรเครดิตขึ้นแต่อย่างใดเนื่องจากธนาคารมีความเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติอยู่แล้ว
ทั้งนี้จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ธนาคารไม่ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตในส่วนของธุรกิจบัตรเครดิตไว้ แต่เชื่อว่าการทำธุรกิจคงมีการเติบโตขึ้นบ้างแต่ไม่หวือหวาเท่ากับในช่วงที่ผ่านมาเพราะผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้นจะไม่ได้มีระยะเวลาแค่ 3 หรือ 6 เดือนเท่านั้น แต่คาดว่าจะมีการขยายวงกว้างไปเรื่อยๆทำให้ตอนนี้ผู้ประกอบการบัตรเครดิตมีความระมัดระวังในการทำธุรกิจมากขึ้น โดยในส่วนของการทำกิจกรรมกระตุ้นยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรในปีนี้คงจะมีให้เห็นน้อยลง เนื่องจากต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายลง
'แผนเราปีนี้เน้นบริการลูกค้าแบงก์เป็นหลัก และก็มีการเพิ่มความระมัดระวังในการให้สินเชื่อบัตรเครดิตเพราะปัญหาเศรษฐกิจคงจะมีผลกระทบในวงกว้าง เราไม่รู้ว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ แต่การที่เราจะเข้าไปเจาะลูกค้าเดิมที่ใช้บริการ กับแบงก์อยู่แล้วนั้นจะมีปัญหาอยู่ด้านหนึ่ง คือเรื่องของรายได้ของลูกค้าว่าเป็นอย่างไรและเข้าเกณฑ์หรือไม่ แต่ส่วนดีคือเราจะสามารถเห็นธุรกรรมของลูกค้าและประเมินความน่าเชื่อถือได้'
สำหรับยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรของธนาคารช่วง 2 เดือนแรกนั้นมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 13-14% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาส 4 ของปีก่อนซึ่งมีการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 14-15% จึงยังไม่เห็นสัญญาณ ลดลงที่ชัดเจนนัก โดยขณะนี้ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเฉลี่ยต่อบัตรต่อเดือนของธนาคารอยู่ที่ 9,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ให้ความสำคัญ กับการดูแลจัดการคุณภาพหนี้มากขึ้น โดยได้มีการจัดทำแผนเกี่ยวกับการจัดการหนี้เสีย ซึ่งจะเป็นการหาแนวทางในการป้องกันไม่ให้เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นด้วยการให้คำปรึกษาและผ่อนปรนในการชำระหนี้ให้ลูกค้าสามารถชำระหนี้คืนได้
นอกจากนี้ยังได้ตั้งหน่วยงานเพิ่มขึ้นมาเพื่อให้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลในเรื่องพฤติกรรมของลูกค้าในการใช้จ่ายและการชำระหนี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่ และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะมีผลด้านความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือไม่
'ในภาวะแบบนี้เราต้องมีความระวังมาก ขึ้น ต้องดูพฤติกรรมลูกค้าว่าเป็นอย่างไร ส่วน การระมัดระวังของเรานั้นอาจทำเกี่ยวกับเรื่องของวงเงิน คือไม่เพิ่มวงเงิน หรือการขอเพิ่มวงเงินชั่วคราวก็ต้องดูเรื่องพฤติกรรมให้ดีว่ามีโอกาสจะเป็นหนี้เสียหรือไม่ซึ่งอีกส่วนที่ จะนำมาใช้ได้คือการลดวงเงินแต่ตอนนี้ยัง ไม่ได้สรุปว่าถ้ามีปัญหาแล้วจะใช้วิธีไหน ส่วนพฤติกรรมการชำระหนี้ตอนนี้เป็นการชำระแบบเต็มจำนวน 50% และผ่อนชำระ 50%'
นายโชคกล่าวในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิตว่า เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ทางชมรมธุรกิจบัตรเครดิตได้มีการประชุมและเลือกประธานชมรมคนใหม่แล้ว ซึ่งที่ประชุมมีมติเลือกนายสุขดี จงมั่นคง เข้ามาดำรงตำแหน่งดังกล่าว
แหล่งข่าวจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB กล่าวว่า ในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายจะขยายฐานบัตรเครดิตเพิ่มอีก 20% จากปัจจุบันมีฐานบัตรเครดิตอยู่ที่ 200,000 บัตร และยังไม่มีการปรับเกณฑ์ รายได้ขั้นต่ำของผู้สมัครขึ้น ส่วนยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรนั้นหากเป็นบัตรคลาสสิกจะมียอดการใช้จ่ายต่อบัตรต่อเดือนอยู่ที่ 4,000-5,000 บาท ส่วนลูกค้าบัตรแพลทินัมจะมียอด การใช้จ่ายอยู่ที่ 15,000-16,000 บาท
ส่วนในด้านการติดตามหนี้นั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเพิ่มทีมงานแต่อย่างใด เนื่องจากภาพรวมของคุณภาพหนี้ในตอนนี้ยังเป็นปกติ แต่ธนาคารก็มีมาตรการในการติดตามหนี้ให้มีความรวดเร็วขึ้น ส่วนพฤติกรรมการชำระหนี้ ในขณะนี้มีการชำระแบบเต็มจำนวนมากขึ้น