บล.ทิสโก้ ปรับแผนปีนี้รุกขยายธุรกิจ ที่ปรึกษาและผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ระยะสั้น เชื่อตลาดหุ้นกู้คึก เหตุบริษัทใหญ่ระดมทุนเพื่อรับสถานการณ์เสริมสภาพคล่อง ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ปีนี้ 3.2% เผยผลโรดโชว์ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ นักลงทุนเมินชี้การเมืองไม่นิ่ง เตรียมโรดโชว์อีกครั้งที่ยุโรปมีนาคมนี้
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 51 ในส่วนของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 845 ล้านบาท/วัน และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 2.7% แต่หากไม่รวมมูลค่าการซ้อขายเพื่อการลงทุนขอพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ทางบริษัทจะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 3.0% ซึ่งลดลงเล็กน้อยเนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้าสถาบัน ซึ่งปีที่ผ่านมาลูกค้าสถาบันมีปริมาณการซื้อขายน้อยลงเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทจะเน้นการลงทุนระยะยาว จึงทำให้ไม่มีการซื้อขายบ่อยนัก ขณะที่งานด้านตลาดอนุพันธ์ (tfex) มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 1.6% เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่มีมาร์แชร์ 1.2%
โดยสัดส่วนลูกค้าของบริษัทในปี 51 จะแบ่งเป็น ลูกค้ารายย่อย 44% ลูกค้าสถาบันในประเทศ 25% และลูกค้าสถาบันต่างประเทศ 31% แบ่งเป็นลูกค้ารายย่อย 12,997 บัญชี ซึ่งในจำนวนนี้เป็นบัญชีซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต (Internet Trading) ถึง 5,035 บัญชี คิดเป็นสัดส่วน 39% ซึ่งตัวเลขที่กล่าวมานั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีท่ามกลางภาวะตลาดทุนทั่วโลกที่ผันผวนอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ดี ในช่วง 9 เดือนแรกปี 51 จะพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งหันมาออกหุ้นกู้ และมีมูลค่าส่วนนี้อยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ที่เคยออกหุ้นกู้มาแล้วช่วงปีที่ผ่านมาและเตรียมจะออกหุ้นกู้ล็อตใหม่อีกในปีนี้ เนื่องจากบริษัทมีขนาดใหญ่ต่างต้องการรักษาสภาพคล่องเพื่อรองรับกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับบริษัทที่เคยออกหุ้นกู้ในต่างประเทศได้หันมาออกหุ้นกู้ในประเทศเพิ่มขึ้นเพราะมีต้นทุนต่ำ
"เป็นโอกาสที่ TISCO จะขยายธุรกิจที่ปรึกษาและผู้จัดการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาดีลสั้นแทนงานด้านการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) และบริษัทเป็นผู้ประกอบการรายแรกในธุรกิจนี้นอกเหนือจากธนาคารพณิชย์ ซึ่งขณะนี้เรามี ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 1 % ตั้งเป้าทำผลงานให้ได้ไตรมาสละ 2 ดีล " นายไพบูลย์กล่าว
สำหรับปี 52 นั้น TISCO มองว่าทิศทางหุ้นกู้น่าจะขยายตัวเพิ่ม คาดว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ ทะยอยออกหุ้นกู้ เช่น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.ช.การช่าง (CK) เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ดีบริษัทเหล่านี้จะระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่อง ปัจจุบัน TISCO มีงานในมือ (black log) อยู่ 15 ดีล แบ่งเป็นการจำหน่ายหุ้นสามัญที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) 4 ดีล การประกันหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียน 2 ดีล งานด้านที่ปรึกษา (M&A) 8 ดีล ซึ่งงานด้าน M&A นั้นมีอยู่ 4 ดีลที่เป็นงานในประเทศเวียดนาม โดยแยกเป็นกลุ่มโรงพยาบาล วัสดุก่อสร้าง ที่เจรจากันแล้วและรอจังหวะเหมาะสม
นายไพบูลย์ กล่าวว่า จากการที่ได้เดินทางไปโรดโชว์กับนักลงทุนกว่า 30 ราย ในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ที่ผ่านมานั้นปรากฏว่านักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจในตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่กลับให้ความสนใจในเรื่องของการเมืองภายในประเทศไทยมากกว่า ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ 5 เรื่อง คือความมั่นคงรัฐบาลชุดนี้ว่าจะสามารถบริหารงานได้เงิน 1 ปีหรือไม่ ความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาแล้วก่อนหน้านี้ ความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการเมกกะโปรเจกต์ การยอมรับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจไทยว่าจะต้องติดลบและปรับแผนให้ตรงจุด และหนี้เสียของสถาบันการเงินในประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติอยากเห็นความชัดเจนก่อนจึงจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย
อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนเตรียมจะเดินทางโรดโชว์อีกครั้งในประเทศแถบยุโรป อาทิ ประเทศอังกฤษ สก็อตแลนด์ ฯลฯ ช่วงเดือนมีนาคม และหวังว่าน่าจะสามารถดึงนักลงทุนในกลุ่มที่ต้องการลงทุนระยะยาวให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นปีนี้ คาดว่าดัชนีเมื่อสิ้นสุดปี 52 จะอยู่ที่ระดับ 510 จุด และมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 12,496 ล้านบาท/วัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 15,870 ล้านบาท/วัน หรือลดลงประมาณ 21.3% ประเมินว่ากลุ่มลูกค้าสถาบันต่างประเทศน่าจะลดลงประมาณ 35% ลูกค้ารายย่อยลดลง 15% และลูกค้าสถาบันการเงินในประเทศลดลง 20% ซึ่งปีนี้จะเน้นกลยุทธ์การขยายผลิตภัณฑ์ รูปแบบการบริการให้ครบวงจร และตรงกับความการของนักลงทุนให้มากที่สุด และตั้งเป้าเพิ่มส่วนมาร์เก็ตแชร์ที่ 3.2%
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 51 ในส่วนของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 845 ล้านบาท/วัน และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 2.7% แต่หากไม่รวมมูลค่าการซ้อขายเพื่อการลงทุนขอพอร์ตบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ทางบริษัทจะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 3.0% ซึ่งลดลงเล็กน้อยเนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้าสถาบัน ซึ่งปีที่ผ่านมาลูกค้าสถาบันมีปริมาณการซื้อขายน้อยลงเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวม อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทจะเน้นการลงทุนระยะยาว จึงทำให้ไม่มีการซื้อขายบ่อยนัก ขณะที่งานด้านตลาดอนุพันธ์ (tfex) มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 1.6% เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่มีมาร์แชร์ 1.2%
โดยสัดส่วนลูกค้าของบริษัทในปี 51 จะแบ่งเป็น ลูกค้ารายย่อย 44% ลูกค้าสถาบันในประเทศ 25% และลูกค้าสถาบันต่างประเทศ 31% แบ่งเป็นลูกค้ารายย่อย 12,997 บัญชี ซึ่งในจำนวนนี้เป็นบัญชีซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต (Internet Trading) ถึง 5,035 บัญชี คิดเป็นสัดส่วน 39% ซึ่งตัวเลขที่กล่าวมานั้นถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีท่ามกลางภาวะตลาดทุนทั่วโลกที่ผันผวนอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ดี ในช่วง 9 เดือนแรกปี 51 จะพบว่ามีบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งหันมาออกหุ้นกู้ และมีมูลค่าส่วนนี้อยู่ที่ 1 ล้านล้านบาท เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT) ที่เคยออกหุ้นกู้มาแล้วช่วงปีที่ผ่านมาและเตรียมจะออกหุ้นกู้ล็อตใหม่อีกในปีนี้ เนื่องจากบริษัทมีขนาดใหญ่ต่างต้องการรักษาสภาพคล่องเพื่อรองรับกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับบริษัทที่เคยออกหุ้นกู้ในต่างประเทศได้หันมาออกหุ้นกู้ในประเทศเพิ่มขึ้นเพราะมีต้นทุนต่ำ
"เป็นโอกาสที่ TISCO จะขยายธุรกิจที่ปรึกษาและผู้จัดการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาดีลสั้นแทนงานด้านการนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) และบริษัทเป็นผู้ประกอบการรายแรกในธุรกิจนี้นอกเหนือจากธนาคารพณิชย์ ซึ่งขณะนี้เรามี ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 1 % ตั้งเป้าทำผลงานให้ได้ไตรมาสละ 2 ดีล " นายไพบูลย์กล่าว
สำหรับปี 52 นั้น TISCO มองว่าทิศทางหุ้นกู้น่าจะขยายตัวเพิ่ม คาดว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ ทะยอยออกหุ้นกู้ เช่น บมจ.ไทยออยล์ (TOP) บมจ.ช.การช่าง (CK) เพราะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไม่ดีบริษัทเหล่านี้จะระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่อง ปัจจุบัน TISCO มีงานในมือ (black log) อยู่ 15 ดีล แบ่งเป็นการจำหน่ายหุ้นสามัญที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) 4 ดีล การประกันหุ้นกู้ของบริษัทจดทะเบียน 2 ดีล งานด้านที่ปรึกษา (M&A) 8 ดีล ซึ่งงานด้าน M&A นั้นมีอยู่ 4 ดีลที่เป็นงานในประเทศเวียดนาม โดยแยกเป็นกลุ่มโรงพยาบาล วัสดุก่อสร้าง ที่เจรจากันแล้วและรอจังหวะเหมาะสม
นายไพบูลย์ กล่าวว่า จากการที่ได้เดินทางไปโรดโชว์กับนักลงทุนกว่า 30 ราย ในประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง ที่ผ่านมานั้นปรากฏว่านักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสนใจในตลาดหุ้นไทยมากนัก แต่กลับให้ความสนใจในเรื่องของการเมืองภายในประเทศไทยมากกว่า ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ 5 เรื่อง คือความมั่นคงรัฐบาลชุดนี้ว่าจะสามารถบริหารงานได้เงิน 1 ปีหรือไม่ ความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาแล้วก่อนหน้านี้ ความชัดเจนเกี่ยวกับโครงการเมกกะโปรเจกต์ การยอมรับสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจไทยว่าจะต้องติดลบและปรับแผนให้ตรงจุด และหนี้เสียของสถาบันการเงินในประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติอยากเห็นความชัดเจนก่อนจึงจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในไทย
อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนเตรียมจะเดินทางโรดโชว์อีกครั้งในประเทศแถบยุโรป อาทิ ประเทศอังกฤษ สก็อตแลนด์ ฯลฯ ช่วงเดือนมีนาคม และหวังว่าน่าจะสามารถดึงนักลงทุนในกลุ่มที่ต้องการลงทุนระยะยาวให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นปีนี้ คาดว่าดัชนีเมื่อสิ้นสุดปี 52 จะอยู่ที่ระดับ 510 จุด และมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 12,496 ล้านบาท/วัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 15,870 ล้านบาท/วัน หรือลดลงประมาณ 21.3% ประเมินว่ากลุ่มลูกค้าสถาบันต่างประเทศน่าจะลดลงประมาณ 35% ลูกค้ารายย่อยลดลง 15% และลูกค้าสถาบันการเงินในประเทศลดลง 20% ซึ่งปีนี้จะเน้นกลยุทธ์การขยายผลิตภัณฑ์ รูปแบบการบริการให้ครบวงจร และตรงกับความการของนักลงทุนให้มากที่สุด และตั้งเป้าเพิ่มส่วนมาร์เก็ตแชร์ที่ 3.2%