บล.ภัทร แย้มธุรกิจที่ปรึกษาการลงทุนปีหน้า สินทรัพย์ภายใต้การให้คำปรึกษาถึงเป้าหมาย 2 แสนล้านบาท ยาก เหตุภาวะตลาดหุ้นผวนผวน เชื่อหากปัญหาต่างประเทศดีขึ้น ดึงนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น เน้นสร้างความเชื่อมั่น-ให้ความรู้แก่นักลงทุน แจง ต.ค.เอยูเอ เหลือ 8.5 หมื่นล้านจากเม.ย.ที่ 1 แสนล้านบาท แต่ช่วง 2-3 สัปดาห์นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุน
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ กล่าวว่า PHATRA เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การให้คำปรึกษาการลงทุน (AUA)ในปีหน้าของบริษัทคงยากที่จะถึงเป้าหมายที่ 200,000 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนซึ่งคาดการณ์ที่ลำบาก เศรษฐกิจโลกชะลอ ซึ่งภาวะเศรษฐกิจโลกไม่เลวร้ายมาก เชื่อว่าจะนักลงทุนจะมีความมั่นใจที่จะกลับเข้ามาลงทุน โดยบริษัทยังไม่มีการปรับเป้า AUAในขณะนี้
ทั้งนี้ กลยุทธ์ของบริษัทในปีหน้าของบริษัทนั้นจะเน้นในการสร้งความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนเพราะที่ผ่านมาจากที่ภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนมากจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ ทำให้ที่ปรึกษาทางการลงทุนต่างๆ ให้คำแนะนำที่ผิดพลาดในช่วงปีนี้ ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกับลูกค้า และบริษัทจะให้ความรู้แก่ลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งธุรกิจดังกล่าวนั้นจะแข่งขันสูงขึ้น เพราะผลจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ก็จะเข้ามาทำธุรกิจนี้เองด้วย
สำหรับการที่เกิดวิกฤตนั้น ทำให้นักลงทุนต้องการที่จะมีที่ปรึกษาทางการเงินที่ดี ซึ่งจากการสำรวจในต่างประเทศนั้นนักลงทุนที่มีที่ปรึกษาส่วนตัวสูงมาก และเมื่อได้รับความเสียหายจากการลงทุนนั้น นักลงทุนต่างประเทศสัดส่วนถึง 80% จะมีการเปลี่ยนที่ปรึกษาการลงทุนใหม่ และจะบอกต่อกับผู้รู้จักไม่ได้ใช้ที่ปรึกษารายนั้น โดยส่วนตัวเชื่อว่าธุรกิจที่ปรึกษาทางการลงทุนนั้นจะยังคงเติบโตได้ แต่บริษัทจะต้องความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และควรที่จะเลี่ยงการลงุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
" เป้าAUAปีหน้าคงยากที่จะถึง 2 แสนล้านบาท จากภาวะตลาดที่ไม่ดี แต่หลังจากเกิดวิกฤการเงินนั้น อาจมีนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการที่ปรึกษาเข้ามาช่วยดูในเรื่องการลงทุน แต่บริษัทเชื่อว่าธุรกิจนี้น่าจะมีการเติบโตที่ดี โดยบริษัทจะเน้นในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นและให้ความแก่นักลงทุน" นายจิรวัฒน์ กล่าว
นายจิรวัฒน์ กล่าวว่าเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทมี AUA ที่ 8.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่มี 1 แสนล้านบาท เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากจากผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุน แต่สัดส่วนที่ลดลงนั้นก็ถือว่าไม่มากนัก เพราะบริษัทมีการแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ในสัดส่วน 30% ของพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เริ่มที่จะมีเม็ดเงินลงทุนกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น ผลจากนักลงทุนเห็นโอกาสในการลงทุนในหุ้นที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยเม็ดเงินที่กลับเข้ามาลงทุนนั้น มาจากลูกค้ารายเดิมของบริษัท ที่มีการเพิ่มวงเงินการลงทุนมากขึ้น ส่วนลูกค้ารายใหม่นั้นบริษัทก็จะทำการตลาดมากขึ้น เพื่อชวนให้นักลงทุนเข้ามาใช้บริการที่ปรึกษาการลงทุนของบริษัท
อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนในผู้ที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลาง โดยลงทุนหุ้น 43% แบ่งเป็นลงทุนในหุ้นไทย 40 % ลงทุนต่างประเทศเพียง 3% เท่านั้น แต่ควรลงทุนในเอเชียซึ่งควรเลี่ยงลงทุนในหุ้นสหรัฐ ยุโรป ลงทุนในตราสารหนี้ 25 % ลดลงจาก 35% เพิ่มการลงทุนในการลงทุนทางเลือก เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ 20% จากเดิม 10% และถือเงินสด เพิ่มเป็น 11-12% จากเดิม 5% แต่ควรเป็นนักลงทุนที่สามารถถือการลงทุนได้ 18 -24 เดือน เพื่อที่จะไม่ได้รับความเสียหายหากภาวะตลาดผันผวน
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ กล่าวว่า PHATRA เปิดเผยว่า สินทรัพย์ภายใต้การให้คำปรึกษาการลงทุน (AUA)ในปีหน้าของบริษัทคงยากที่จะถึงเป้าหมายที่ 200,000 ล้านบาท เนื่องจาก ภาวะตลาดหุ้นที่ผันผวนซึ่งคาดการณ์ที่ลำบาก เศรษฐกิจโลกชะลอ ซึ่งภาวะเศรษฐกิจโลกไม่เลวร้ายมาก เชื่อว่าจะนักลงทุนจะมีความมั่นใจที่จะกลับเข้ามาลงทุน โดยบริษัทยังไม่มีการปรับเป้า AUAในขณะนี้
ทั้งนี้ กลยุทธ์ของบริษัทในปีหน้าของบริษัทนั้นจะเน้นในการสร้งความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนเพราะที่ผ่านมาจากที่ภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนมากจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐ ทำให้ที่ปรึกษาทางการลงทุนต่างๆ ให้คำแนะนำที่ผิดพลาดในช่วงปีนี้ ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกับลูกค้า และบริษัทจะให้ความรู้แก่ลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งธุรกิจดังกล่าวนั้นจะแข่งขันสูงขึ้น เพราะผลจากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ก็จะเข้ามาทำธุรกิจนี้เองด้วย
สำหรับการที่เกิดวิกฤตนั้น ทำให้นักลงทุนต้องการที่จะมีที่ปรึกษาทางการเงินที่ดี ซึ่งจากการสำรวจในต่างประเทศนั้นนักลงทุนที่มีที่ปรึกษาส่วนตัวสูงมาก และเมื่อได้รับความเสียหายจากการลงทุนนั้น นักลงทุนต่างประเทศสัดส่วนถึง 80% จะมีการเปลี่ยนที่ปรึกษาการลงทุนใหม่ และจะบอกต่อกับผู้รู้จักไม่ได้ใช้ที่ปรึกษารายนั้น โดยส่วนตัวเชื่อว่าธุรกิจที่ปรึกษาทางการลงทุนนั้นจะยังคงเติบโตได้ แต่บริษัทจะต้องความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และควรที่จะเลี่ยงการลงุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ
" เป้าAUAปีหน้าคงยากที่จะถึง 2 แสนล้านบาท จากภาวะตลาดที่ไม่ดี แต่หลังจากเกิดวิกฤการเงินนั้น อาจมีนักลงทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการที่ปรึกษาเข้ามาช่วยดูในเรื่องการลงทุน แต่บริษัทเชื่อว่าธุรกิจนี้น่าจะมีการเติบโตที่ดี โดยบริษัทจะเน้นในเรื่องการสร้างความเชื่อมั่นและให้ความแก่นักลงทุน" นายจิรวัฒน์ กล่าว
นายจิรวัฒน์ กล่าวว่าเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทมี AUA ที่ 8.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่มี 1 แสนล้านบาท เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากจากผลกระทบจากปัจจัยต่างประเทศทำให้นักลงทุนมีการชะลอการลงทุน แต่สัดส่วนที่ลดลงนั้นก็ถือว่าไม่มากนัก เพราะบริษัทมีการแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในตราสารหนี้ในสัดส่วน 30% ของพอร์ตการลงทุน
ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น เริ่มที่จะมีเม็ดเงินลงทุนกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น ผลจากนักลงทุนเห็นโอกาสในการลงทุนในหุ้นที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี โดยเม็ดเงินที่กลับเข้ามาลงทุนนั้น มาจากลูกค้ารายเดิมของบริษัท ที่มีการเพิ่มวงเงินการลงทุนมากขึ้น ส่วนลูกค้ารายใหม่นั้นบริษัทก็จะทำการตลาดมากขึ้น เพื่อชวนให้นักลงทุนเข้ามาใช้บริการที่ปรึกษาการลงทุนของบริษัท
อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนในผู้ที่รับความเสี่ยงได้ระดับปานกลาง โดยลงทุนหุ้น 43% แบ่งเป็นลงทุนในหุ้นไทย 40 % ลงทุนต่างประเทศเพียง 3% เท่านั้น แต่ควรลงทุนในเอเชียซึ่งควรเลี่ยงลงทุนในหุ้นสหรัฐ ยุโรป ลงทุนในตราสารหนี้ 25 % ลดลงจาก 35% เพิ่มการลงทุนในการลงทุนทางเลือก เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ 20% จากเดิม 10% และถือเงินสด เพิ่มเป็น 11-12% จากเดิม 5% แต่ควรเป็นนักลงทุนที่สามารถถือการลงทุนได้ 18 -24 เดือน เพื่อที่จะไม่ได้รับความเสียหายหากภาวะตลาดผันผวน