xs
xsm
sm
md
lg

บีบสินค้า 50 รายลดราคา คลังสวนขึ้นภาษีน้ำมัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“พาณิชย์” บีบ 50 สินค้าลดราคาตามน้ำมันโลกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งของกินของใช้ “พรทิวา” ประกาศข่าวดีวันเวิร์กชอป 30 ม.ค.ครม.ไฟเขียวกระทรวงการคลังขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันหวังรายได้เข้าคลังเพิ่มจากเดิมเดือนละ 1.5 พันล้าน คนใช้ “เบนซิน-ดีเซลปกติ” เดือดร้อนหนัก ราคาพุ่งทันที ส่วนคนใช้แก๊สโซฮอล์ ดีเซลบี 5 ตัวเบา กบง.ถกวันนี้ ใช้กองทุนน้ำมันอุ้ม หวังดึงราคาไม่ให้ขึ้นเร็วจนกระทบผู้ใช้

แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมการค้าภายในได้รวบรวมสินค้า 50 รายการ ซึ่งเป็นรายการที่เคยปรับราคาขึ้นในช่วงน้ำมันแพง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการปรับลดราคาลงมาตามราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งจะมีการเจรจากับผู้ประกอบการสินค้าเหล่านี้ปรับราคาลดลงให้สอดคล้องกับต้นทุน ซึ่งจะมีการประกาศในการประชุมเชิงปฏิบัติการ (เวิร์กชอป) วันที่ 30 ม.ค.นี้ ที่นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ได้เชิญผู้ประกอบการกว่า 200 ราย มาร่วมหารือ

“การดำเนินการดังกล่าว เป็นไปตามการตั้งข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี ที่กำชับให้กระทรวงพาณิชย์ไปดูแลว่าทำไมสินค้าถึงไม่ปรับลดราคาลงมา ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันได้ลดลงมามาก ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้ว พบว่า มีสินค้าสูงถึง 50 รายการ ที่ควรจะปรับลดราคาลงได้ โดยขณะนี้ได้มีการหารือเป็นการภายในกับผู้ผลิตสินค้ารายการต่างๆ อยู่ และหากไม่มีปัญหาอะไร ก็จะประกาศได้ในวันประชุมเวิร์กชอป และจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในวันที่ 3 ก.พ.ที่จะถึงนี้” แหล่งข่าวกล่าว

สำหรับสินค้า 50 รายการนั้น เป็นสินค้าที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันสูงขึ้น ซึ่งก็ต้องไปหารือกับผู้ผลิตว่าขณะนี้ต้นทุนน้ำมันลดลงแล้ว จะปรับลดราคาได้หรือไม่ หากไม่สามารถปรับลดราคาลงมาได้ ก็ต้องมีเหตุผลประกอบว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่กระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายที่จะขอให้มีการปรับราคาลงมาทั้ง 50 รายการ

สินค้า 50 รายการที่อยู่ในเป้าหมายการขอให้ปรับลดราคา แยกเป็นหมวดอาหารและเครื่องดื่มและหมวดของใช้ประจำวันมากสุดถึง 27 รายการ โดยหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ นมถั่วเหลืองพร้อมดื่มยูเอชที ครีมเทียมข้นหวาน กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำดื่มบรรจุภาชนะผนึก ผลไม้บรรจุกระป๋อง น้ำตาลทราย เกลือ ซอสปรุงรสถั่วเหลือง ซอสพริก น้ำจิ้มไก่ ผงชูรส แป้งสาลี วุ้นเส้น เต้าเจี้ยวบรรจุภาชนะ กะทิบรรจุภาชนะ

หมวดของใช้ประจำวัน ได้แก่ ครีมนวดผม เจลแต่งผม ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่น ผลิตภัณฑ์ฟอกผ้าขาว น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ แปรงสีฟัน ก้านสำลีอนามัย ยากำจัดยุงและแมลง หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กระดาษพิมพ์เขียน กระดาษชำระ

สินค้าที่เหลืออีก 23 รายการ อยู่ในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้แก่ พัดลม เครื่องดูดฝุ่น เครื่องเล่นวิทยุ-เทป-คอมแพกต์ดิสก์ หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง ได้แก่ ยางรถยนต์ หมวดวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ กระเบื้องมุงหลังคา ปูนซีเมนต์ ไม้อัด สีทาบ้าน แท็งก์น้ำ ถังเก็บน้ำ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่น แก๊สหุงต้ม (บริการขนส่ง) พลาสติกห่ออาหาร แก๊สรถยนต์ หมวดยารักษาโรค ได้แก่ ยารักษาโรค ยาแก้ไข้หวัด ยาบรรเทาปวดกล้ามเนื้อ หมวดปัจจัยการเกษตร ได้แก่ รถไถ ตาข่ายกรองแสง จอบ (ราคาไม่รวมด้าม) เสียม (รวมด้าม) และยาปราบศัตรูพืช

คลังซ้ำเติมขึ้นภาษีน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม แม้กระทรวงพาณิชย์จะพยายามแก้ไขปัญหาค่าครองชีพด้วยการเจรจาให้ผู้ผลิตสินค้าปรับลดราคาสินค้าลงตามต้นทุนน้ำมันที่ลดลง แต่กระทรวงการคลังไม่เพียงเสนอให้ยกเว้นการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน หลังจากครบการใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน แต่ยังได้เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเพิ่มเติมอีก ในการประชุม ครม.วานนี้ (28 ม.ค.) ซึ่งทำให้กระทบต่อต้นทุนในการผลิตสินค้าทันที

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวว่า ได้เสนอให้ ครม.ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตหลังจากครบกำหนดการใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน เพราะขณะนี้ราคาน้ำมันในประเทศได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังได้เสนอให้มีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตเพิ่มเติมอีก แต่เน้นการขึ้นภาษีในส่วนของน้ำมันปกติ หากเป็นน้ำมันที่เป็นพลังงานทางเลือกจะขึ้นภาษีไม่มาก โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.นี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้ คาดว่า จะทำให้กระทรวงการคลังมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 1,572 ล้านบาท

ส่วนการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศนั้น ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดูแล และขอให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบไม่ให้เกิดการกักตุนน้ำมันเพื่อจำหน่ายในราคาที่สูงขึ้น

สำหรับการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมัน มีรายละเอียดดังนี้ น้ำมันเบนซินทุกประเภท เก็บภาษีอัตราปกติ 3.685 และ 4.685 บาทต่อลิตร เสนอให้จัดเก็บเพิ่มในอัตรา 5.000 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E10 อัตราจัดเก็บเดิม 3.3165 บาทต่อลิตร ช่วงประกาศใช้ 6 มาตรการ 6 เดือนเก็บที่อัตรา 0.0165 บาทต่อลิตร อัตราที่เสนอให้มีการจัดเก็บใหม่ 3.317 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E 20 อัตราจัดเก็บเดิม 3.3165 บาทต่อลิตร ช่วงประกาศใช้ 6 มาตรการ 6 เดือนเก็บที่อัตรา 0.0165 บาทต่อลิตร อัตราที่เสนอให้มีการจัดเก็บใหม่ 3.317 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ E 85 อัตราจัดเก็บเดิม 2.5795 บาทต่อลิตร ช่วงประกาศใช้ 6 มาตรการ 6 เดือนเก็บที่อัตรา 0.0165 บาทต่อลิตร อัตราที่เสนอให้มีการจัดเก็บใหม่ 0.750 บาทต่อลิตร

ขณะที่น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันไม่เกิน 0.035% โดยน้ำหนัก อัตราจัดเก็บเดิม 2.305 บาทต่อลิตร ช่วงประกาศใช้ 6 มาตรการ 6 เดือนเก็บที่อัตรา 0.005 บาทต่อลิตร อัตราที่เสนอให้มีการจัดเก็บใหม่ 3.305 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถันสูงกว่า 0.035 % โดยน้ำหนัก อัตราจัดเก็บเดิม 2.405 บาทต่อลิตร อัตราที่เสนอให้มีการจัดเก็บใหม่ 4.000 บาทต่อลิตร ส่วนไบโอดีเซล (B5) อัตราจัดเก็บปกติอยู่ที่ 2.1898 บาทต่อลิตร ช่วงประกาศใช้ 6 มาตรการ 6 เดือน จัดเก็บในอัตรา 0.0898 บาทต่อลิตร อัตราที่เสนอให้มีการจัดเก็บใหม่ 2.190 บาทต่อลิตร

คนใช้ดีเซล-เบนซินจุกราคาพุ่งทันที

นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านน้ำมัน กล่าวว่า กรณีที่คลังได้เรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันส่วนของเบนซิน 95 และ 91 เพิ่มประมาณ 1.32 บาทต่อลิตร และดีเซล (บี2) 1 บาทต่อลิตร และขยับภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ และดีเซล (บี5) กลับมาในอัตราเดิมจากก่อนหน้าที่ลดลงตามมาตรการ 6 เดือนเพื่อลดภาระประชาชน ทำให้ภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ 91และ 95 มาอยู่ที่เดิมคือ 3.317 บาทต่อลิตร ไบโอดีเซล (B5) 2.19 บาทต่อลิตรมีผล 1 ก.พ.52

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล (บี2) จะขึ้นตามภาษีสรรพสามิตที่ 1.32 บาทต่อลิตร และ 1 บาทต่อลิตร (ไม่รวมภาษีอื่นๆ) ตามลำดับหรือไม่ จะต้องดูราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ในช่วงเวลาที่เหลือก่อนถึงวันที่ 1 ก.พ.ว่า จะลดลงเพียงใด หากดูทิศทางน้ำมันดิบที่ลดลงเฉลี่ย 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คาดว่าราคาสิงคโปร์อีก 1-2 วันน่าจะลงตาม แต่ค่าการตลาดผู้ค้าเบนซินเหลือ 60 สตางค์ต่อลิตร แต่ดีเซล (บี2) ค่อนข้างเป็นบวกเกือบ 2 บาทต่อลิตร ดังนั้น หากน้ำมันขาลงโอกาสเบนซินขึ้นอาจจะมีอยู่บ้าง แต่จะไม่มากเพราะค่าการตลาดจะสูงขึ้น แต่ดีเซลไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง แต่หากตลาดโลกตรงกันข้ามราคาสูงกว่าราคาขายปลีกกลุ่มเบนซินจะขึ้นแน่นอน

คนใช้แก๊สโซฮอล-บี5 ราคาถูกลง

สำหรับราคากลุ่มของแก๊สโซฮอล์ กับ บี5 นั้น มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาดูแลวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะหากขึ้น 1 ก.พ.ดีเซล (บี5 ) จะต้องขยับราคาทันที 2.19 บาทต่อลิตร กลุ่มแก๊สโซฮอล์ 3.30 บาทต่อลิตร (ไม่รวมภาษีอื่นๆ) โดยหากรวมจะสูงกว่านี้ ซึ่งรัฐมองว่าจะกระทบประชาชนรุนแรงเกินไป จึงนำเงินกองทุนฯมาเบรกราคาดังกล่าว ซึ่งจะทยอยดำเนินการ 3 ครั้ง หรือหากน้ำมันลดลงก็อาจเหลือเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดก็จะทำควบคู่กับการพิจารณาราคาสิงคโปร์ว่าขึ้นและลงด้วย แต่ทั้งหมดจะทำให้ราคาไม่สูงเกินไป อย่างไรก็ตาม จากการที่รัฐขึ้นภาษีกลุ่มเบนซินและดีเซลปกติทำให้ส่วนต่างของกลุ่มพลังงานทดแทนจะมีราคาต่ำลงไปอีก

“ภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์ อี 85 จาก 2.5795 บาท เหลือ 0.750 บาทต่อลิตร ก็จะทำให้ราคาอี 85 ลดลงไปอีก มาตรการนี้อาจจะมองได้ว่าเป็นการยิงนกครั้งเดียวได้นก 3 ตัว คือ 1. รายได้รัฐเพิ่ม 2.ถ่างราคาดีเซลปกติกับบี 5 และกับกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ให้เพิ่มขึ้นเพื่อจูงใจให้คนหันมาใช้พลังงานทดแทน และ 3.ราคาน้ำมันจะอยู่ระดับสูงซึ่งทำให้คนไทยประหยัดมากขึ้น” นายมนูญ กล่าว

นายเทียนไชย จงพีร์เพียร นักวิชาการด้านพลังงาน กล่าวว่า หากพิจารณาราคาน้ำมันตลาดโลกแล้ว คาดว่า จะอยู่ในช่วงขาลงเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังตกต่ำประชาชนยังไม่เชื่อมั่นเท่าที่ควร ดังนั้น การเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันกลุ่มเบนซินและดีเซลปกติ ก็จะทำให้รักษาระดับราคาขายปลีกไม่ให้ต่ำเกินไปซึ่งจะทำให้คนไทยไม่ประหยัดเช่นปัจจุบัน

กบง.ถกวันนี้ 3 วิธีบริหารราคา

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี รมว.พลังงาน เป็นประธานจะมีการนัดประชุมวันนี้ (29 ม.ค.) สำนักงานนโยบายพลังงาน (สนพ.) จะเสนอแนวทางในการบริหารจัดการราคาน้ำมันหลังรัฐปรับโครงสร้างสรรพสามิตใหม่ โดยจะเสนอ 3 แนวทาง คือ 1.ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับจำนวนภาษีที่เก็บขึ้น 2.ลดเก็บเงินในอัตราที่สามารถทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกขยับได้ระหว่าง 50 สตางค์.-1 บาทต่อลิตร 3.จะใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ 3,000 ล้านบาท อุดหนุนราคาไปก่อน หากวันที่ 1 ก.พ.ราคาน้ำมันอยู่ช่วงขาลงก็อาจจะไม่ให้ลดราคาขายปลีก แต่จะใช้วิธีเก็บเงินเข้ากองทุนฯเพิ่มแทน
กำลังโหลดความคิดเห็น