รมว.คลัง งัดมาตรการเด็ดอุ้มภาคอสังหาฯ เปิดโอกาสคนซื้อบ้านปี 52 นำเงินต้นลดหย่อนภาษีได้ 2 แสนบาท ในปีแรก และครึ่งหนึ่งในปีที่ 2 หวังเปิดช่องผู้ที่มีกำลังซื้อ-มีความพร้อมทางการเงิน ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ก.คลัง เตรียมนำเสนอมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นมาตรการสมทบต่อเนื่องจากการจัดทำงบกลางปีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 1.167 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งมาตรการภาษีที่จะนำเสนอ ได้แก่ มาตรการภาษีภาคอสังหาริมทรัพย์ เบื้องต้นจะให้เงินต้นมาหักลดหย่อนภาษี 2-3 แสนบาท ในปีแรก และปีที่ 2 หักลดหย่อนได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะกำหนดแน่นอน เท่าไรนั้น คงสรุปได้ในสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันว่า ไม่ใช่เพิ่มหักค่าลดหย่อนจากดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านเหมือนที่เคยทำมา
นายกรณ์ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะมีผลต่อการซื้อบ้านในทุกระดับราคา แต่จำกัดสิทธิเฉพาะผู้ซื้อบ้านในปี 2552 เพื่อต้องการเกิดธุรกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น และให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อบ้านและมีความพร้อมทางการเงิน ตัดสินใจได้เร็วขึ้น หวังผลในการเพิ่มการก่อสร้าง และส่งผลต่อการจ้างแรงงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้ มาตรการภาษีดังกล่าวมีผลกระทบต่อรายได้ภาครัฐไม่มากเกินไป
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการที่เป็นการปรับลดอัตราภาษี ซึ่งมั่นใจว่า จะเป็๋นประโยชน์ในทุกภาคส่วน แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในขณะนี้ โดยรัฐบาลจะสูญเสียรายได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมระบุว่า ภาษีทุก 1 หมื่นล้านบาทที่ส่งถึงประชาชน จะช่วยดันจีดีพีโต 0.6%
อย่างไรก็ตาม รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันจะเห็นด้วยกับแนวทางการปรับลดรายได้นิติบุคคลจาก 30% เป็น 25% แต่จังหวะเวลาในขณะนี้ยังไม่เหมาะสม เนื่องจากมองว่าแม้จะปรับภาษีเงินได้นิติบุคคลในขณะนี้ จะยังไม่มีผลให้นักลงทุนเกิดการลงทุนมากขึ้น แต่กลับทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ถึง 6 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยเปล่าประโยชน์
ทั้งนี้ รวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ยังไม่มีแนวคิดลดลงในช่วงนี้เช่นกัน เนื่องจากไม่มั่นใจว่า การลดภาษี VATจะทำให้ราคาสินค้าลดลง และจะทำให้ประชาขนเพิ่มการใช้จ่ายหรือไม่
รมว.คลัง กล่าวเสริมว่า รัฐบาลยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านช่องทางการปล่อยสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินของรัฐจำนวน 3 แสนล้านบาท จะช่วยดันจีดีพีเพิ่มอีก 0.2% การเร่งรับการเบิกจ่ายงบประมาณของส่วนราชการ 1.84 ล้านล้านบาท งบของรัฐวิสาหกิจ 3.08 แสนล้านบาท และงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีก 3.66 แสนล้านบาท
นายกรณ์ ระบุว่า วงเงินงบประมาณที่เร่งรัดเบิกจ่ายทุก 2.5 หมื่นล้านบาทจะช่วยดันจีดีพีให้โต 0.1% ดังนั้น การอัดฉีดงบกลางปีจำนวน 1.167 แสนล้านบาท หากเบิกจ่ายได้จริง มั่นใจว่าจะช่วยให้จีดีพีขยายตัวเพิ่มอีก 1% เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) จำนวน 1.7 แสนล้านบาท ได้แก่ การลงทุนโครงการขนส่งสาธารณะ โครงการแหล่งน้ำ หากเร่งรัดการเลิกจ่ายได้ทุก 2.54 หมื่นล้านบาท ก็จะช่วยทำให้จีดีพีโตได้อีก 0.1%
สำหรับการดำเนินงานด้านโครงการเมกะโปรเจกต์ คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ได้เห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตามดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีงบลงทุนสูง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดความล่าช้ามากกว่าโครงการอื่นๆ
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ก.คลัง เตรียมนำเสนอมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นมาตรการสมทบต่อเนื่องจากการจัดทำงบกลางปีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 1.167 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งมาตรการภาษีที่จะนำเสนอ ได้แก่ มาตรการภาษีภาคอสังหาริมทรัพย์ เบื้องต้นจะให้เงินต้นมาหักลดหย่อนภาษี 2-3 แสนบาท ในปีแรก และปีที่ 2 หักลดหย่อนได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งจะกำหนดแน่นอน เท่าไรนั้น คงสรุปได้ในสัปดาห์หน้า พร้อมยืนยันว่า ไม่ใช่เพิ่มหักค่าลดหย่อนจากดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านเหมือนที่เคยทำมา
นายกรณ์ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะมีผลต่อการซื้อบ้านในทุกระดับราคา แต่จำกัดสิทธิเฉพาะผู้ซื้อบ้านในปี 2552 เพื่อต้องการเกิดธุรกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น และให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อบ้านและมีความพร้อมทางการเงิน ตัดสินใจได้เร็วขึ้น หวังผลในการเพิ่มการก่อสร้าง และส่งผลต่อการจ้างแรงงานและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ทั้งนี้ มาตรการภาษีดังกล่าวมีผลกระทบต่อรายได้ภาครัฐไม่มากเกินไป
นอกจากนี้ ยังมีมาตรการที่เป็นการปรับลดอัตราภาษี ซึ่งมั่นใจว่า จะเป็๋นประโยชน์ในทุกภาคส่วน แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในขณะนี้ โดยรัฐบาลจะสูญเสียรายได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมระบุว่า ภาษีทุก 1 หมื่นล้านบาทที่ส่งถึงประชาชน จะช่วยดันจีดีพีโต 0.6%
อย่างไรก็ตาม รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลยืนยันจะเห็นด้วยกับแนวทางการปรับลดรายได้นิติบุคคลจาก 30% เป็น 25% แต่จังหวะเวลาในขณะนี้ยังไม่เหมาะสม เนื่องจากมองว่าแม้จะปรับภาษีเงินได้นิติบุคคลในขณะนี้ จะยังไม่มีผลให้นักลงทุนเกิดการลงทุนมากขึ้น แต่กลับทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ถึง 6 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยเปล่าประโยชน์
ทั้งนี้ รวมไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่ยังไม่มีแนวคิดลดลงในช่วงนี้เช่นกัน เนื่องจากไม่มั่นใจว่า การลดภาษี VATจะทำให้ราคาสินค้าลดลง และจะทำให้ประชาขนเพิ่มการใช้จ่ายหรือไม่
รมว.คลัง กล่าวเสริมว่า รัฐบาลยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านช่องทางการปล่อยสินเชื่อผ่านสถาบันการเงินของรัฐจำนวน 3 แสนล้านบาท จะช่วยดันจีดีพีเพิ่มอีก 0.2% การเร่งรับการเบิกจ่ายงบประมาณของส่วนราชการ 1.84 ล้านล้านบาท งบของรัฐวิสาหกิจ 3.08 แสนล้านบาท และงบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีก 3.66 แสนล้านบาท
นายกรณ์ ระบุว่า วงเงินงบประมาณที่เร่งรัดเบิกจ่ายทุก 2.5 หมื่นล้านบาทจะช่วยดันจีดีพีให้โต 0.1% ดังนั้น การอัดฉีดงบกลางปีจำนวน 1.167 แสนล้านบาท หากเบิกจ่ายได้จริง มั่นใจว่าจะช่วยให้จีดีพีขยายตัวเพิ่มอีก 1% เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) จำนวน 1.7 แสนล้านบาท ได้แก่ การลงทุนโครงการขนส่งสาธารณะ โครงการแหล่งน้ำ หากเร่งรัดการเลิกจ่ายได้ทุก 2.54 หมื่นล้านบาท ก็จะช่วยทำให้จีดีพีโตได้อีก 0.1%
สำหรับการดำเนินงานด้านโครงการเมกะโปรเจกต์ คณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ได้เห็นชอบให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาติดตามดูแลการดำเนินโครงการดังกล่าว เนื่องจากมีงบลงทุนสูง และมีความเสี่ยงที่จะเกิดความล่าช้ามากกว่าโครงการอื่นๆ