“แกรนด์ ยูนิตี้” แนะจัดสรรเตรียมรับมือวิกฤตปีหน้า ลงทุนอย่างระมัดระวัง ชี้หลายบริษัทประกาศลดการลงทุน ส่วนลูกค้าออกโปรแกรมตรวจสุขภาพการเงิน เตรียมความพร้อมให้ลูกค้าก่อนยื่นกู้แบงก์ ป้องกันการปฏิเสธสินเชื่อ ระบุปี 51 ยอดขาย 500 ล้านบาท ส่วนปีหน้าตั้งเป้าเปิด 3 โครงการใหม่ ยอดรับรู้รายได้ 550 ล้านบาท
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แกรนด์ยูนิตี้ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปัจจุบันตลาดอสอังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่อาจจะยังไม่ฟื้นตัวในปีหน้า ในขณะที่ไทยนอกจากจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านการเมืองด้วย แม้ว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่แล้วแต่หลายคนยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถบริหารประเทศได้นานแค่ไหน
ดังนั้น ผู้ประกอบการอสังหาฯจะต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ควรมีแผนการดำเนินงานสำรองไว้หลายแผน การขยายการลงทุนจะต้องไม่ผลีผลาม ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทพัฒนาฯหลายรายได้ประกาศชะลอการลงทุน เช่นเปิดโครงการใหม่ 10-15 แห่งจากเดิมเปิดปีละ 30-40 โครงการ นอกจากนี้โครงการที่จะลงทุนต้องมีคุณภาพมากจริงๆ ผู้ประกอบการจะต้องทำการทดสอบตลาด ทำการสำรวจความต้องการซื้อ(ดีมานด์)ที่แท้จริงในทุกทำเลที่จะลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง ส่วนช่องทางการตลาดต้องเพิ่มให้มีความหลายหลาย โดยบริษัทได้ลงทุนสื่ออินเตอร์เน็ตมากขึ้นประมาณ 10% ของงบการตลาดทั้งปี ซึ่งนับว่าได้ผลเพราะมีลูกค้าซื้อจากช่องทางนี้ประมาณ 7-8% นอกจากนี้บริษัทยังได้ขยายเวลาเปิดสำนักงานขายตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 20.00 น. จากเดิม 18.00 น.
ทั้งนี้ บริษัทควรมีการเตรียมความพร้อมลูกค้าในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพราะที่ผ่านมาอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจะทำให้ผู้ประกอบการต้องนำยูนิตที่ขายได้แล้วกลับมาขายใหม่(Re-Sale) ทำให้เกิดต้นทุนการตลาดเพิ่ม ในส่วนของบริษัทมีโปรแกรมตรวจสุขภาพการเงินให้ลูกค้าก่อนซื้อ นอกจากนี้ยังให้ลูกค้าผ่อนดาวน์ 10% ประมาณ 10-18 เดือน ช่วงที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอาคาร และจะแนะนำให้ลูกค้าผ่อนดาวน์ให้ตรงเวลา พร้อมทั้งส่ง SMS ผ่านระบบมือถือก่อน 7 วัน เพื่อเตือนให้ลูกค้าว่าถึงกำหนดชำระค่างวดแล้ว เพื่อที่สถาบันการเงินจะได้เห็นพฤติกรรมและวินัยการผ่อนชำระเงินกู้ เพื่อให้ลูกค้าได้วงเงินจากสถาบันการเงินง่ายขึ้น
นายธนพล กล่าวว่า สำหรับภาวะการขายในปัจจุบัน ถือว่าไม่ได้ลดลงไปมากนัก ซึ่งจากการเปิดขายโครงการ ยู สบาย กล้วยน้ำไท คอนโดมิเนียมจำนวน 139 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40% ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการ ยู ดีไลท์ แอท บางซื่อ สเตชั่น คอนโดมิเนียม 1 อาคาร 622 ยูนิต ราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 42,000 บาท หรือเริ่มต้น 1.35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50%
“การที่ยอดขายไม่ได้ตกไปมากอย่างที่คิด ทำให้เรารู้ว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส เพราะช่วงที่มีปัญหาการเมืองทำให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนไปมาก เมื่อเจอวิกฤตเศรษฐกิจจริงทำให้มีสต๊อกเหลืออยู่ในตลาดน้อยผลกระทบเลยน้อยตาม”
สำหรับผลการดำเนินงานมียอดขายแล้ว 500 ล้านบาท ส่วนยอดรับรู้รายได้ยังมีไม่มาก เพราะมีโครงการที่สร้างใกล้แล้วเสร็จเพียงโครงการเดียวคือ พาร์ค วิว วิภาวดี ซึ่งเริ่มทยอยโอนตั้งแต่เดือนนี้เล็กน้อยและเริ่มโอนในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งคาดว่าในปี 52 จะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 550 ล้านบาท จากโครงการ ยูสบาย 500 ล้านบาท และจากพาร์ค วิว 50 ล้านบาท ส่วนแผนการลงทุนในปี 52 คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ซื้อที่ดินเข้ามา ซึ่งได้ตั้งงบประมาณซื้อที่ดินไว้ที่ 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจอาคารสร้างค้างหรือโครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดิม ซึ่งขณะนี้มีหลายโครงการเข้ามาเจรจาขายแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ และเชื่อว่าในปีหน้าจะมีเพิ่มมากขึ้นเพราะหลายโครงการสถาบันการเงินไม่ใส่เงินเพิ่มทำให้โครงการไปไม่รอด
นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แกรนด์ยูนิตี้ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปัจจุบันตลาดอสอังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่อาจจะยังไม่ฟื้นตัวในปีหน้า ในขณะที่ไทยนอกจากจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านการเมืองด้วย แม้ว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่แล้วแต่หลายคนยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถบริหารประเทศได้นานแค่ไหน
ดังนั้น ผู้ประกอบการอสังหาฯจะต้องมีความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ควรมีแผนการดำเนินงานสำรองไว้หลายแผน การขยายการลงทุนจะต้องไม่ผลีผลาม ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทพัฒนาฯหลายรายได้ประกาศชะลอการลงทุน เช่นเปิดโครงการใหม่ 10-15 แห่งจากเดิมเปิดปีละ 30-40 โครงการ นอกจากนี้โครงการที่จะลงทุนต้องมีคุณภาพมากจริงๆ ผู้ประกอบการจะต้องทำการทดสอบตลาด ทำการสำรวจความต้องการซื้อ(ดีมานด์)ที่แท้จริงในทุกทำเลที่จะลงทุน เพื่อลดความเสี่ยง ส่วนช่องทางการตลาดต้องเพิ่มให้มีความหลายหลาย โดยบริษัทได้ลงทุนสื่ออินเตอร์เน็ตมากขึ้นประมาณ 10% ของงบการตลาดทั้งปี ซึ่งนับว่าได้ผลเพราะมีลูกค้าซื้อจากช่องทางนี้ประมาณ 7-8% นอกจากนี้บริษัทยังได้ขยายเวลาเปิดสำนักงานขายตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 20.00 น. จากเดิม 18.00 น.
ทั้งนี้ บริษัทควรมีการเตรียมความพร้อมลูกค้าในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพราะที่ผ่านมาอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจะทำให้ผู้ประกอบการต้องนำยูนิตที่ขายได้แล้วกลับมาขายใหม่(Re-Sale) ทำให้เกิดต้นทุนการตลาดเพิ่ม ในส่วนของบริษัทมีโปรแกรมตรวจสุขภาพการเงินให้ลูกค้าก่อนซื้อ นอกจากนี้ยังให้ลูกค้าผ่อนดาวน์ 10% ประมาณ 10-18 เดือน ช่วงที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอาคาร และจะแนะนำให้ลูกค้าผ่อนดาวน์ให้ตรงเวลา พร้อมทั้งส่ง SMS ผ่านระบบมือถือก่อน 7 วัน เพื่อเตือนให้ลูกค้าว่าถึงกำหนดชำระค่างวดแล้ว เพื่อที่สถาบันการเงินจะได้เห็นพฤติกรรมและวินัยการผ่อนชำระเงินกู้ เพื่อให้ลูกค้าได้วงเงินจากสถาบันการเงินง่ายขึ้น
นายธนพล กล่าวว่า สำหรับภาวะการขายในปัจจุบัน ถือว่าไม่ได้ลดลงไปมากนัก ซึ่งจากการเปิดขายโครงการ ยู สบาย กล้วยน้ำไท คอนโดมิเนียมจำนวน 139 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40% ล่าสุดในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการ ยู ดีไลท์ แอท บางซื่อ สเตชั่น คอนโดมิเนียม 1 อาคาร 622 ยูนิต ราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 42,000 บาท หรือเริ่มต้น 1.35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 50%
“การที่ยอดขายไม่ได้ตกไปมากอย่างที่คิด ทำให้เรารู้ว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส เพราะช่วงที่มีปัญหาการเมืองทำให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนไปมาก เมื่อเจอวิกฤตเศรษฐกิจจริงทำให้มีสต๊อกเหลืออยู่ในตลาดน้อยผลกระทบเลยน้อยตาม”
สำหรับผลการดำเนินงานมียอดขายแล้ว 500 ล้านบาท ส่วนยอดรับรู้รายได้ยังมีไม่มาก เพราะมีโครงการที่สร้างใกล้แล้วเสร็จเพียงโครงการเดียวคือ พาร์ค วิว วิภาวดี ซึ่งเริ่มทยอยโอนตั้งแต่เดือนนี้เล็กน้อยและเริ่มโอนในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งคาดว่าในปี 52 จะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 550 ล้านบาท จากโครงการ ยูสบาย 500 ล้านบาท และจากพาร์ค วิว 50 ล้านบาท ส่วนแผนการลงทุนในปี 52 คาดว่าจะเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ซื้อที่ดินเข้ามา ซึ่งได้ตั้งงบประมาณซื้อที่ดินไว้ที่ 500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจอาคารสร้างค้างหรือโครงการที่ไม่ประสบความสำเร็จเช่นเดิม ซึ่งขณะนี้มีหลายโครงการเข้ามาเจรจาขายแต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ และเชื่อว่าในปีหน้าจะมีเพิ่มมากขึ้นเพราะหลายโครงการสถาบันการเงินไม่ใส่เงินเพิ่มทำให้โครงการไปไม่รอด