xs
xsm
sm
md
lg

กูรูตลาดทุนแนะปี52หันลงทุนฟิวเจอร์ สร้างกำไรหลังหุ้น-เศรษฐกิจซบต่างชาติหนี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"นายกสมาคมโบรกเกอร์" ชี้ จากนี้ถึงสิ้นปีเกิดแบร์มาร์เกตแรลลี่เชื่อตลาดหุ้นเด้ง 100 จุด รอปัจจัยหนุน "นายกลาออก ยุบสภา ปฏิวัติ " แต่ปีหน้าหุ้นร่วงแรงเม็ดเงินต่างชาติไม่เข้าลงทุน 2-3ปี คาดเศรษฐกิจโลกถดถอย อีก 1-2 ปี ไม่ลากยาว 5-10ปี ด้านบล.บัวหลวง แนะหันลงทุนฟิวเจอร์สร้างกำไรดีกว่าหุ้น เหตุ ทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและลง พร้อมจัดพอร์ตเน้นถือเงินสด –ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ กว่า 40% ลดลงทุนหุ้นเหลือ 1%

นายกัมปนาท โลหเจริญวณิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวในงานสัมมนา "จัดพอร์ตลงทุนส่งท้ายปีหนู ...ต้อนรับปีวัว (กระทิง)" ว่า ภาวะตลาดหุ้นไทย ตลาดหุ้นไทยจากนี้ถึงสิ้นปีนี้ดัชนีฯจะมีการรับตัวเพิ่มขึ้นแรง 1 ครั้ง เนื่องจาก สถิตติที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงแรงนั้นจะมีช่วงหนึ่งที่ตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แต่จะเป็นระยะสั้นเท่านั้น จากนั้นอาจจะปรับตัวลดลงอีก ซึ่งประเมินว่าดัชนีอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้100 จุด จากปีนี้ที่ดัชนีการปรับตัวลดลงแรงกว่า 300 จุด

ทั้งนี้ การที่ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงระยะสั้นนั้นก็อาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะยังมองไม่เห็นปัจจุบันที่จะกดดันให้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงแรงในช่วงนี้ แต่เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นปีหน้าจะมีการปรับตัวลดลงแรงมาก แต่ในช่วงสั้นที่หุ้นจะขึ้นได้นั้นอยู่กับปัจจัยที่จะเข้ามาสนับสนุน เช่น หาก นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีลาออก มีการยุบสภา หุ้นจะขึ้นแรง หากมีการปฏิวัติเชื่อว่าหุ้นจะลดลง 2 วัน หลังจากนั้นก็จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงมาก

" เวลาเกิดปัญหาวิกฤตนั้นตลาดหุ้นอยู่ภาวะแบร์มาร์เกตไม่นานเพียง 2-3 ปี แล้วจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงแบร์มาร์เกตนั้นก็จะมีการเกิดภาวะแบร์มาร์เกตแรลลี่ที่หุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วงสั้นๆได้ ถึง 20% หลังจากนั้นก็จะมีการปรับตัวลดลงต่อ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าจากนี้ถึง ม.ค.หรือก.พ จะเกิดภาวะแบร์มาร์เกตแรลลี่ที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในช่วงสั้นซึ่งจะขึ้นได้กว่า 100 จุด " นายกัมปนาทกล่าว

สำหรับเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเชื่อว่าในช่วงอีก 2-3 ปีนั้นจะไม่มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากที่ยังประสบปัญหาทางการเงิน ถึงแม้จะมีเงินเพียงพอในการลงทุนก็จะยังไม่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจากปัญหาทางการเมืองในประเทศทำให้ยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนจึงจะนำไปลงทุนในประเทศอื่นแทน ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติมีการซื้อขาย(เทรด)ในตลาดหุ้นไทยเหลือ 10%จากต้นปีที่มี 30% แสดงว่าต่างชาติเหลือหุ้นที่จะขายออกอีกไม่มาก เพราะมีการเทรดหุ้นที่ต่ำ โดยจากยอดการซื้อสุทธิย้อนหลังของต่างชาติ ตั้งแต่ปี 2543-2551 ขณะนี้เหลือ7 หมื่นล้านบาทที่จะสามารถขายได้ จากที่ขายออกมากว่า 1.4 แสนล้านบาท

บล.ทรีนีตี้ได้ ปรับลดประมาณการณ์จีดีพีปีหน้าจะโตเหลือ 2.8% จากเดือนที่ผ่านมาที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.5-3.8%จากปัญหาวิกฤตทางการเงินโลกได้ลุกลามไปสู่ภาคธุรกิจจริง โดยจะทำให้เศรษฐกิจโลกจะมีการถดถอยไปอีก 1-2 ปี ซึ่งจะไม่ยืดเยื้อถึง 5-10 ปี แต่จะต้องดูว่ารัฐบาลนายอารัค โอบามา จะสามารถแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ ซึ่งหาก สามารถแก้ปัญหาได้ และทำให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวเร็ว เศรษฐกิจไทยก็จะสามารถฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน ซึ่งปีหน้าจะเป็นปีที่ไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจจากปีนี้ที่เป็นปีแห่งปัญหาทางการเมืองดังนั้นจะต้องมีการเตรียมแผนรองรับ

อย่างไรก็ตาม การลงทุนนั้นหากนักลงทุนต้องการที่จะลงทุนแบบเก็งกำไรนั้นควรที่จะลงทุนในตลาดอนุพันธ์ เช่น ฟิวเจอร์ที่อ้างอิงทองคำ (โกลดฟิวเจอร์) ซึ่งจะเปิดซื้อขายในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ สต็อกฟิวเจอร์ ออปชั่น จากสามารถที่จะทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง แต่หากนักลงทุนต้องการลงทุนในหุ้นนั้นควรที่จะเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปันผลสูงและเป้นการลงทุนระยะยาว

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวาณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า บริษัทแนะนำนักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนปีหน้า ซึ่งในสัดส่วน 100%ของพอร์ตนั้นนักลงทุนควรที่จะถือเงินสด 43% ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 41% ซึ่งที่น่าลงทุนคือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยคอน อีก 9% ลงทุนในโกลดฟิวเจอร์ และอนุพันธ์ 3% ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และอีก 3% ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ และ 1% ลงทุนในหุ้น ซึ่งการลงทุนในฟิวเจอร์นั้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในหุ้นจากที่สามารถทำกำไรจากภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง

ทั้งนี้ หากนักลงทุนจะลงทุนในหุ้นควรเลือกลงทุนที่มีกระแสเงินสดที่สูง มีหนี้ต่ำ โดยกลุ่มที่แนะนำคือ หุ้นกลุ่มธนาคาร โดยเลือกลงทุน 4 แบงก์ใหญ่ หากเป็นแบงก์ขนาดเล็กนั้นบริษัทแนะนำ ลงทุนธนาคารธนชาต และหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งแนะนำลงทุน ปตท.ปตท.สผ และบ้านปู เพราะ เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเม็ดเงินจะไหลเข้าไปลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ก่อน

สำหรับบริษัทเจพี มอร์แกน ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ บล.บัวหลวงประเมินเศรษฐกิจโลกปีหน้า โต 1.7%และคาดปี 2553 โต 3.6% แต่มองจีดีพีของสหรัฐปีหน้าติดลบ 1.3% จากประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายซึ่งการที่เศรษฐกิจสหรัฐโตได้นั้น70% พึ่งการใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งคาดว่าในไตรมาส4ปีนี้จีดีพีสหรัฐจะติดลบ 2-3% และคาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าไทยจะดต 2.7% และปี 2553 จะโตได้ 4%

นายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนจากนี้นักลงทุนไม่ควรที่จะลงทุนในหุ้นจากที่จะยังไม่ดีและมีความเสี่ยงในการขาดทุนสูง โดยหากต้องการลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลสูง ซึ่งขณะนี้มีหุ้นบางบริษัทที่จ่าปันผลสูงถึง 20% ซึ่งส่วนตัวมองว่าการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุด คือ การลงทุนในทองคำ จากราคาไม่ผันผวนและมีสภาพคล่องในการซื้อขาย และการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งจะให้ผลตอบแทน 3-4% ซึ่งถือว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จะให้ผลตอบแทน 14-15% แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลงมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น