เผยยอดปฏิเสธสินเชื่อรายย่อยที่อยู่อาศัยห้องชุดพุ่ง25% จากยอดปฏิเสธสินเชื่อรวม30% ขณะยอดปฏิเสธที่อยู่อาศัยแนวราบ5-7%ต่ำกว่า3เท่าตัว หลังแบงก์เข้มปล่อยกู้ ลูกค้าถูกเลิกจ้าง-ลดเงินเดือน ยอมรับยอดขายตกเป้ากว่า18% จากเป้ารวม2,500 ล้านบาท ด้านบัวทองฯสวนกระแสยอดงานบริหารการขายเพิ่มหลังแบงก์เข้มปล่อยกู้ ผู้ประกอบการหน้าใหม่ขาดความประสบการณ์ตบเท้าเข้าใช้บริการ แจงกว่า10รายจ่อเซ็นสัญญาเพิ่ม
นายไพโรจน์ สุขจั่น ประธานกรรมการ บริษัท บัวทองกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาจำนวนการปฏิเสธสินเชื่อลูกค้ารายย่อยที่ซื้อที่อยู่อาศัยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันมียอดการปฏิเสธสินเชื่อในตลาดรวมเฉลี่ย30% ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นยอดการปฏิเสธกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดประมาณ 25% โดยเฉพาะกลุ่มอาคารชุดระดับราคา1ล้านบาทเศษ ส่วนกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบมียอดปฏิเสธสินเชื่อประมาณ5-7%
ทั้งนี้ สาเหตุที่โครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมียอดการปฏิเสธสินเชื่อสูงกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบเนื่องจากกลุ่มที่อยู่อาศัยอาคารชุดปัจจุบันสถาบันเข้มงวดการปล่อยกู้สินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันระยะเวลาในการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมนั้น ใช้ระยะเวลากว่า 18 เดือนในขณะที่กลุ่มลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อส่วนใหญ่ไม่มีการตรวจสอบเครดิตบูโรก่อนยื่นขอกู้ และที่สำคัญคือกำลังซื้อของลูกค้าลดลง เนื่องจากการถูกเลิกจ้างงาน หรือถูกลดเงินเดือน
ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบที่มียอดการปฏิเสธสินเชื่อน้อยนั้น เพราะโครงการบ้านส่วนใหญ่จะเป็นการก่อสร้างไปขายไป หรือก่อสร้างเสร็จก่อนขาย ประกอบกับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อส่วนใหญ่มีการตรวจสอบเครดิต บูโรก่อนหน้าและสามารถหาผู้กู้ร่วมได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มฐานรายได้ของผู้กู้ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อมีค่อนข้างน้อย
สำหรับบริษัทรับบริหารการขายของบัวทองกรุ๊ปนั้นตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 2,500ล้านบาท แต่ในช่วงที่ผ่านมาปัจจัยลบที่เข้ามากระทบทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินโลกส่งผลให้ยอดขายของบริษัทต่ำกว่าประมาณการที่วางไว้แล้วประมาณ 18% โดยขณะนี้มียอดขายรวม 1,860ล้านบาท จากจำนวนโครงการที่รับบริหารการขายในมือ30โครงการ โดยมีกำไรจากการขายเฉลี่ยประมาณ 10%
นายไพโรจน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามโครงการที่พัฒนา โดยผู้ประกอบการรายใหม่ที่เข้ามาในตลาดแต่ขาดประสบการณ์ด้านการบริหารการขายเริ่มประสบปัญหาด้านการขาย เข้ามาใช้บริการบริหารการขายของบริษัทเพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาเซ็นสัญญาอยู่ประมาณ 10ราย ซึ่งบัวทองฯเองต้องตรวจสอบและคัดเลือกก่อนว่าจะเซ็นสัญญากับรายได้บ้าง เนื่องจากต้องพิจารณาด้วยว่าบริษัทที่จ้างให้บริหารการขายนั้น มีความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการมากน้อยอย่างไร ทำเลที่ดีหรือไม่ และมีสภาพคล่องของบริษัทดีเพียงพอที่จะสามารถก่อสร้างโครงการจนแล้วเสร็จหรือไม่ ซึ่งจากปัญหาการขาดสภาพคล่องที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการยกเลิกสัญญาบริหารการขายไปแล้วประมาร4-5 โครงการ
ส่วนโครงการที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาใหม่ได้ขณะนี้คือโรงการพิณภา คอนโดมิเนียม ของบริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งอยู่ด้านหลังห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ จำนวน 70ยูนิต ราคาขายระหว่า 1.5-1.6 ล้านบาท ที่ขณะนี้มียอดขายแล้ว 20 ยูนิต ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างนั้นขณะนี้ก่อสร้างเสร็จแล้ว 100%
สำหรับโครงการอสังหาฯเพื่อขายของกลุ่มบัวทองนั้น บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่คือโครงการทาวน์เฮาส์ทิพย์พิมานบ้านริมคลอง ซึ่งยังไม่มีการเปิดขายแต่เริ่มการก่อสร้างแล้ว โดยโครงการนี้มีจำนวนยูนิตที่พัฒนารวม 163 ยูนิต ราคา1.6-1.7ล้านบาท มูลค่ารวม320ล้านบาท
นายไพโรจน์ สุขจั่น ประธานกรรมการ บริษัท บัวทองกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาจำนวนการปฏิเสธสินเชื่อลูกค้ารายย่อยที่ซื้อที่อยู่อาศัยมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบันมียอดการปฏิเสธสินเชื่อในตลาดรวมเฉลี่ย30% ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นยอดการปฏิเสธกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดประมาณ 25% โดยเฉพาะกลุ่มอาคารชุดระดับราคา1ล้านบาทเศษ ส่วนกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบมียอดปฏิเสธสินเชื่อประมาณ5-7%
ทั้งนี้ สาเหตุที่โครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมมียอดการปฏิเสธสินเชื่อสูงกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบเนื่องจากกลุ่มที่อยู่อาศัยอาคารชุดปัจจุบันสถาบันเข้มงวดการปล่อยกู้สินเชื่อเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันระยะเวลาในการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมนั้น ใช้ระยะเวลากว่า 18 เดือนในขณะที่กลุ่มลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อส่วนใหญ่ไม่มีการตรวจสอบเครดิตบูโรก่อนยื่นขอกู้ และที่สำคัญคือกำลังซื้อของลูกค้าลดลง เนื่องจากการถูกเลิกจ้างงาน หรือถูกลดเงินเดือน
ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบที่มียอดการปฏิเสธสินเชื่อน้อยนั้น เพราะโครงการบ้านส่วนใหญ่จะเป็นการก่อสร้างไปขายไป หรือก่อสร้างเสร็จก่อนขาย ประกอบกับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อส่วนใหญ่มีการตรวจสอบเครดิต บูโรก่อนหน้าและสามารถหาผู้กู้ร่วมได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มฐานรายได้ของผู้กู้ทำให้ยอดปฏิเสธสินเชื่อมีค่อนข้างน้อย
สำหรับบริษัทรับบริหารการขายของบัวทองกรุ๊ปนั้นตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวม 2,500ล้านบาท แต่ในช่วงที่ผ่านมาปัจจัยลบที่เข้ามากระทบทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินโลกส่งผลให้ยอดขายของบริษัทต่ำกว่าประมาณการที่วางไว้แล้วประมาณ 18% โดยขณะนี้มียอดขายรวม 1,860ล้านบาท จากจำนวนโครงการที่รับบริหารการขายในมือ30โครงการ โดยมีกำไรจากการขายเฉลี่ยประมาณ 10%
นายไพโรจน์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามโครงการที่พัฒนา โดยผู้ประกอบการรายใหม่ที่เข้ามาในตลาดแต่ขาดประสบการณ์ด้านการบริหารการขายเริ่มประสบปัญหาด้านการขาย เข้ามาใช้บริการบริหารการขายของบริษัทเพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้มีโครงการที่อยู่ระหว่างเจรจาเซ็นสัญญาอยู่ประมาณ 10ราย ซึ่งบัวทองฯเองต้องตรวจสอบและคัดเลือกก่อนว่าจะเซ็นสัญญากับรายได้บ้าง เนื่องจากต้องพิจารณาด้วยว่าบริษัทที่จ้างให้บริหารการขายนั้น มีความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการมากน้อยอย่างไร ทำเลที่ดีหรือไม่ และมีสภาพคล่องของบริษัทดีเพียงพอที่จะสามารถก่อสร้างโครงการจนแล้วเสร็จหรือไม่ ซึ่งจากปัญหาการขาดสภาพคล่องที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการยกเลิกสัญญาบริหารการขายไปแล้วประมาร4-5 โครงการ
ส่วนโครงการที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาใหม่ได้ขณะนี้คือโรงการพิณภา คอนโดมิเนียม ของบริษัท ยูโรเปี้ยนฟู้ด จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งอยู่ด้านหลังห้างสรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ถนนศรีนครินทร์ จำนวน 70ยูนิต ราคาขายระหว่า 1.5-1.6 ล้านบาท ที่ขณะนี้มียอดขายแล้ว 20 ยูนิต ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างนั้นขณะนี้ก่อสร้างเสร็จแล้ว 100%
สำหรับโครงการอสังหาฯเพื่อขายของกลุ่มบัวทองนั้น บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่คือโครงการทาวน์เฮาส์ทิพย์พิมานบ้านริมคลอง ซึ่งยังไม่มีการเปิดขายแต่เริ่มการก่อสร้างแล้ว โดยโครงการนี้มีจำนวนยูนิตที่พัฒนารวม 163 ยูนิต ราคา1.6-1.7ล้านบาท มูลค่ารวม320ล้านบาท
