ผู้บริหารบล. – บลจ.เฝ้ารอกลยุทธ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาครัฐในการรับมือเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หวังได้ทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และนโยบายการคลังด้านภาษี พร้อมเสนอลดภาษีมูลค่าเพิ่มให้เหลือเพียง4% แค่ชั่วคราว มั่นใจการว่างงานในประเทศจะไม่มากเท่าวิกฤตปี2540 ย้ำช่วงนี้เหมาะแก่การลงทุนระยะยาว ชูการลงทุนทางเลือกประเภท โครงการสร้างพื้นฐาน อาคารสำนักงานให้เช่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทองคำจะมีบทบาทรวมทั้งเม็ดเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้น ตามสถานการณ์หลีกเลี่ยงลงทุนในตลาดหุ้นที่ผันผวน
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุทฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวภายในงานสัมนา มองเศรษฐกิจโลก: สร้างโอกาสด้วย Alternative Investmentในหัวข้อทิศทางเศรษฐกิจการเงินไทย ว่าภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ยังไม่สดใส และจะเป็นไปในระยะยาวจนถึงกลางปีหน้า ซึ่งเรื่องนี้จะกระทบกับประเทศไทยค่อนข้างหนัก ทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีจะได้เพียงแค่ 2%กว่า หากจะให้ถึง3%^ นั้นเป็นไปได้ยาก โดยกองทุนไอเอ็มเอฟ ได้ประเมินว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ กลุ่มประเทศยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่นจะอยู่ใมนระดับติดลบ แต่ยังมองว่าเศรษบกิจของจีนยังอยู่ในระดับดี
“สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น มีจีดีพีรวมกัน 60%ของทั้งโลก ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตย่อมส่งผลกระทบมาถึงไทยเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของการส่งออก ดังนั้นต้องพึ่งการบริโภคในประเทศมาช่วยเสริม”
ส่วนแนวโน้มอัตราการว่างงานนั้น ประเมินว่าจะไม่ร้ายแรงเท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี2540 เพราะสถานของสถาบันการเงินในประเทศยังอยุ่ในระดับดี อีกทั้งบริษัทตอนนี้มีหนี้กู้ยืมจากต่างประเทสน้อยมาก โดยรวมจะมีปัญหาในเรื่องค่าใช้จ่ายต่อประชากร เนื่องจากในปีหน้ารายได้ต่อคนจัไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งแนวโน้มการว่างงานที่จะได้รับผลกระทบแน่คือในกลุ่มส่งออกประเภทอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ ในส่วนที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาให้ความช่วยเหลือนั้น กรรมการผู้อำนวยการบลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่าในแง่นโยบายการเงิน ภาคเอกชนยังรอเรื่องดังกล่าวอยู่ ว่าจะมีผลแค่ไหน เนื่องจากตอนนี้ภาพรวมได้ปรับตัวลดลงมาก ดังนั้นหากภาครัฐออกนโยบายการเงินโดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกมา เชื่อว่าแม้จะไม่มีผลดี แต่ก็จะเกิดผลลบค่อนข้างน้อย
ขณะเดียวกัน นโยบายการคลังถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หวังไว้มาก แต่มีโอกาสไม่สูงนัก โดยขณะนี้กรอบงบประมาณภาครัฐที่กำหนดไว้มองว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะงบประมาณปี 2552 จำนวน 2.5 แสนล้านบาทความจริงมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่กี่หมื่นล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือ200,000 กว่าล้านบาท เป็นงบที่ใช้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งการเพิ่มงบกลางปีเข้ามาอีก 1 แสนล้านบาทนี้เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูว่าจะมีผลบวกต่อเศรษฐกิจขนาดไหน อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าสภาพคล่องของประเทศยังอยู่ในระดับสูง เพราะยังมีเงินจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนประเทศเกาหลีจำนวนกว่า 2.7 แสนล้านบาทซึ่งจะทยอยกลับเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มเติมจนถึงปีหน้า
โดย บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่าการลงทุนในต่างประเทศยังสามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับดี แต่โอกาสขาดทุนยังมีอยู่ โดยหากเป็นการลงทุนระยะยาว 3-4ปีขึ้นไปยังมีโอกาส ส่วนระยะสั้น-กลางยังมีความผันผวน ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนประเมินว่าในระยะสั้นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น แต่ในระยะยาวค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลอื่นๆในเอเชียจะแข็งค่าขึ้นแทน จากการถูกบังคับตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์ ค่าเงินยุโรปที่มีปัญหาและมีแนวโน้มอ่อนตัว
**หวังลดดอกเบี้ยและVAT7%รับมือศก.**
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ (หัวหน้าสายงานวิจัย) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในเรื่องนี้ต้องมองกลยุทธ์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ ว่าจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากคาดว่าวิกฤตในครั้งนี้จะใช้เวลาฟื้นฟู 4-6 ปี ก่อนจะกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่การว่างงานจะกระทบน้อยกว่าช่วงวิกฤตในปี 2540 และจากความมั่นคงของประเทศมหาอำนาจที่หายไป จะส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบเรื่องการส่งออกตั้งแต่ช่วงไตรมาส4 จนถึงไตรมาส2/2552 ซึ่งสิ่งที่อยากนำเสนอต่อภาครัฐคือควรลดภาษีมูลค่าเพิ่มลงจากเดิม 7% ให้เหลือเพียง 4% ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ขณะเดียวกันอยากให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1.50% เพื่อทดแทนดีมานต์ที่หายไป สุดท้ายในเรื่องสินเชื่อเอสเอ็มอี ภาครัฐควรมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบครึ่งหนึ่งในความเสียหาย เพราะในอนาคตการให้สินเชื่อผู้ประกอบการจะเป็นไรอย่างยากลำบาก
ส่วนภาวะการลงทุนในหุ้นช่วงนี้ยังได้รับความตื่นตระหนกทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยเราจะเริ่มรู้ทิศทางที่ชัดเจนขึ้นในช่วงปลายไตรมาส1/2552 หรือช่วงต้นไตรมาส2ปีหน้า ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้จึงเหมาะกบการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่3-10ปีเป็นต้นไป เพราะจะมีโอกาสเข้าทยอยซิ้อในช่วงราคาหุ้นถูกได้นาน ส่วนคนที่จะรอเข้าลงทุนในไตรมาส3ปี2552 นั้นมองว่ามีโอกาสแต่เป็นเรื่องที่ยาก อีกทั้งอาจมีเวลาในการพิจารณาได้น้อย
**อินฟาสตรัคเจอร์+อาคารสำนักงานโดดเด่น**
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักงานลงทุนทางเลือก กองทุนบำเหน็จบำนาจข้าราชการ (กบข.) กล่าวถึงการลงทุนทางเลือกว่า ว่าจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต เพราะเป็นการลงทุนในระยะยาวและให้ผลตอบแทนได้ในระดับสูง อีกทั้งจะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนของนักลงทุนได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งกบข.จะเริ่มเข้าลงทุนในเรื่องดังกล่าวประมาณปีหน้า สัดส่วนเริ่มต้นที่ 1.5%
ขณะที่นายล่องลม บุนนาค กล่าวว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทเรียล เอสเตทนั้นจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนพเมขึ้น โดยเฉพาะในภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนสูง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรง หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งขอแนะนำว่าหากเป็นประเทศฟรีโฮลจะมีความมั่นคงมาก ส่วนประเภทลิสต์โฮลนั้น อยากแนะนำให้เลือกลงทุนในโครงการที่ระยะเวลาการเช่าที่ยาวนานเช่น 30ปี ส่วนโปรดักต์ที่จะได้รับความนืยม และมีความมั่นคงในเรื่องรายได้ รวมทั้งผลตอบแทนกลับคืนที่ดีที่สุด มองว่าจะเป็นการลงทุนในอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งมีโอกาสเติบโตตามแนวโน้มเศรษฐกิจ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจช่วงนี้จะไม่ดีอาคารสำนักงานยังมีความมั่นคงในเรื่องรายได้ และมีความเสี่ยงที่น้อย
**แนะกระจายความเสี่ยงลงสู่ทองคำ**
ด้านนางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการบลจ.ทหารไทย กล่าวว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นับว่าเป็นการลงทุนทางเลือกซึ่งจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของอาคารสำนักงานให้เช่า และศูนย์การค้า เช่นกองทุนรวมCPNRF ที่บริษัทบริหารจัดการ โดยที่ผ่านมาแม้ราคาหน่วยลงทุนจะปรับตัวลดลง แต่รายได้และผลดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งล่าสุดได้มีการประกาศจ่ายปันผลไปเมื่อเร็วๆนี้
ขณะเดียวกัน กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวย้ำว่า ในพอร์ตลงทุนควรมีการลงทุนในคอมมอดิตีประเภททองคำไว้บางเพราะจากข้อมูลที่ศึกษาพบว่าโดยการลงทุนในทองคำสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 16% และ3 เดือนก่อนวิกฤตการเงินยังมีผลตอบแทนประมาณ8% โดยช่วงวิกฤตมีผลตอบแทนติดลบเพียง2%เท่านั้น ดังนั้นจึงถือเป็นอีกช่องทางหนี่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาในระดบสูงได้ เพราะการลงทุนทางเลือกประเภทนี้จะช่วยสร้างมูลค่าในการลงทุนได้ดี อีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนด้วย
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุทฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวภายในงานสัมนา มองเศรษฐกิจโลก: สร้างโอกาสด้วย Alternative Investmentในหัวข้อทิศทางเศรษฐกิจการเงินไทย ว่าภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ยังไม่สดใส และจะเป็นไปในระยะยาวจนถึงกลางปีหน้า ซึ่งเรื่องนี้จะกระทบกับประเทศไทยค่อนข้างหนัก ทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีจะได้เพียงแค่ 2%กว่า หากจะให้ถึง3%^ นั้นเป็นไปได้ยาก โดยกองทุนไอเอ็มเอฟ ได้ประเมินว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ กลุ่มประเทศยุโรป รวมทั้งญี่ปุ่นจะอยู่ใมนระดับติดลบ แต่ยังมองว่าเศรษบกิจของจีนยังอยู่ในระดับดี
“สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น มีจีดีพีรวมกัน 60%ของทั้งโลก ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตย่อมส่งผลกระทบมาถึงไทยเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของการส่งออก ดังนั้นต้องพึ่งการบริโภคในประเทศมาช่วยเสริม”
ส่วนแนวโน้มอัตราการว่างงานนั้น ประเมินว่าจะไม่ร้ายแรงเท่ากับวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี2540 เพราะสถานของสถาบันการเงินในประเทศยังอยุ่ในระดับดี อีกทั้งบริษัทตอนนี้มีหนี้กู้ยืมจากต่างประเทสน้อยมาก โดยรวมจะมีปัญหาในเรื่องค่าใช้จ่ายต่อประชากร เนื่องจากในปีหน้ารายได้ต่อคนจัไม่เพิ่มขึ้น ซึ่งแนวโน้มการว่างงานที่จะได้รับผลกระทบแน่คือในกลุ่มส่งออกประเภทอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ ในส่วนที่ต้องการให้ภาครัฐเข้ามาให้ความช่วยเหลือนั้น กรรมการผู้อำนวยการบลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่าในแง่นโยบายการเงิน ภาคเอกชนยังรอเรื่องดังกล่าวอยู่ ว่าจะมีผลแค่ไหน เนื่องจากตอนนี้ภาพรวมได้ปรับตัวลดลงมาก ดังนั้นหากภาครัฐออกนโยบายการเงินโดยการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกมา เชื่อว่าแม้จะไม่มีผลดี แต่ก็จะเกิดผลลบค่อนข้างน้อย
ขณะเดียวกัน นโยบายการคลังถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หวังไว้มาก แต่มีโอกาสไม่สูงนัก โดยขณะนี้กรอบงบประมาณภาครัฐที่กำหนดไว้มองว่าไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะงบประมาณปี 2552 จำนวน 2.5 แสนล้านบาทความจริงมีงบในการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่กี่หมื่นล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือ200,000 กว่าล้านบาท เป็นงบที่ใช้ชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งการเพิ่มงบกลางปีเข้ามาอีก 1 แสนล้านบาทนี้เป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูว่าจะมีผลบวกต่อเศรษฐกิจขนาดไหน อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าสภาพคล่องของประเทศยังอยู่ในระดับสูง เพราะยังมีเงินจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนประเทศเกาหลีจำนวนกว่า 2.7 แสนล้านบาทซึ่งจะทยอยกลับเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มเติมจนถึงปีหน้า
โดย บลจ.ไทยพาณิชย์ มองว่าการลงทุนในต่างประเทศยังสามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับดี แต่โอกาสขาดทุนยังมีอยู่ โดยหากเป็นการลงทุนระยะยาว 3-4ปีขึ้นไปยังมีโอกาส ส่วนระยะสั้น-กลางยังมีความผันผวน ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนประเมินว่าในระยะสั้นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น แต่ในระยะยาวค่าเงินบาทและค่าเงินสกุลอื่นๆในเอเชียจะแข็งค่าขึ้นแทน จากการถูกบังคับตามทิศทางค่าเงินดอลลาร์ ค่าเงินยุโรปที่มีปัญหาและมีแนวโน้มอ่อนตัว
**หวังลดดอกเบี้ยและVAT7%รับมือศก.**
ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ (หัวหน้าสายงานวิจัย) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในเรื่องนี้ต้องมองกลยุทธ์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ ว่าจะดำเนินการอย่างไร เนื่องจากคาดว่าวิกฤตในครั้งนี้จะใช้เวลาฟื้นฟู 4-6 ปี ก่อนจะกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่การว่างงานจะกระทบน้อยกว่าช่วงวิกฤตในปี 2540 และจากความมั่นคงของประเทศมหาอำนาจที่หายไป จะส่งผลให้ไทยได้รับผลกระทบเรื่องการส่งออกตั้งแต่ช่วงไตรมาส4 จนถึงไตรมาส2/2552 ซึ่งสิ่งที่อยากนำเสนอต่อภาครัฐคือควรลดภาษีมูลค่าเพิ่มลงจากเดิม 7% ให้เหลือเพียง 4% ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ขณะเดียวกันอยากให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1.50% เพื่อทดแทนดีมานต์ที่หายไป สุดท้ายในเรื่องสินเชื่อเอสเอ็มอี ภาครัฐควรมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบครึ่งหนึ่งในความเสียหาย เพราะในอนาคตการให้สินเชื่อผู้ประกอบการจะเป็นไรอย่างยากลำบาก
ส่วนภาวะการลงทุนในหุ้นช่วงนี้ยังได้รับความตื่นตระหนกทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศ โดยเราจะเริ่มรู้ทิศทางที่ชัดเจนขึ้นในช่วงปลายไตรมาส1/2552 หรือช่วงต้นไตรมาส2ปีหน้า ดังนั้นการลงทุนในช่วงนี้จึงเหมาะกบการลงทุนในระยะยาวตั้งแต่3-10ปีเป็นต้นไป เพราะจะมีโอกาสเข้าทยอยซิ้อในช่วงราคาหุ้นถูกได้นาน ส่วนคนที่จะรอเข้าลงทุนในไตรมาส3ปี2552 นั้นมองว่ามีโอกาสแต่เป็นเรื่องที่ยาก อีกทั้งอาจมีเวลาในการพิจารณาได้น้อย
**อินฟาสตรัคเจอร์+อาคารสำนักงานโดดเด่น**
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักงานลงทุนทางเลือก กองทุนบำเหน็จบำนาจข้าราชการ (กบข.) กล่าวถึงการลงทุนทางเลือกว่า ว่าจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งจะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต เพราะเป็นการลงทุนในระยะยาวและให้ผลตอบแทนได้ในระดับสูง อีกทั้งจะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนของนักลงทุนได้ดี โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งกบข.จะเริ่มเข้าลงทุนในเรื่องดังกล่าวประมาณปีหน้า สัดส่วนเริ่มต้นที่ 1.5%
ขณะที่นายล่องลม บุนนาค กล่าวว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทเรียล เอสเตทนั้นจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนพเมขึ้น โดยเฉพาะในภาวะตลาดหุ้นที่มีความผันผวนสูง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรง หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งขอแนะนำว่าหากเป็นประเทศฟรีโฮลจะมีความมั่นคงมาก ส่วนประเภทลิสต์โฮลนั้น อยากแนะนำให้เลือกลงทุนในโครงการที่ระยะเวลาการเช่าที่ยาวนานเช่น 30ปี ส่วนโปรดักต์ที่จะได้รับความนืยม และมีความมั่นคงในเรื่องรายได้ รวมทั้งผลตอบแทนกลับคืนที่ดีที่สุด มองว่าจะเป็นการลงทุนในอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งมีโอกาสเติบโตตามแนวโน้มเศรษฐกิจ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจช่วงนี้จะไม่ดีอาคารสำนักงานยังมีความมั่นคงในเรื่องรายได้ และมีความเสี่ยงที่น้อย
**แนะกระจายความเสี่ยงลงสู่ทองคำ**
ด้านนางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการบลจ.ทหารไทย กล่าวว่ากองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นับว่าเป็นการลงทุนทางเลือกซึ่งจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของอาคารสำนักงานให้เช่า และศูนย์การค้า เช่นกองทุนรวมCPNRF ที่บริษัทบริหารจัดการ โดยที่ผ่านมาแม้ราคาหน่วยลงทุนจะปรับตัวลดลง แต่รายได้และผลดำเนินงานยังอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งล่าสุดได้มีการประกาศจ่ายปันผลไปเมื่อเร็วๆนี้
ขณะเดียวกัน กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย กล่าวย้ำว่า ในพอร์ตลงทุนควรมีการลงทุนในคอมมอดิตีประเภททองคำไว้บางเพราะจากข้อมูลที่ศึกษาพบว่าโดยการลงทุนในทองคำสามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 16% และ3 เดือนก่อนวิกฤตการเงินยังมีผลตอบแทนประมาณ8% โดยช่วงวิกฤตมีผลตอบแทนติดลบเพียง2%เท่านั้น ดังนั้นจึงถือเป็นอีกช่องทางหนี่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากมีโอกาสได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาในระดบสูงได้ เพราะการลงทุนทางเลือกประเภทนี้จะช่วยสร้างมูลค่าในการลงทุนได้ดี อีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนด้วย