เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ ชี้ภาวะเศรษฐกิจซบเอื้อธุรกิจบริษัทเติบโต เหตุสถาบันการเงินนำหนี้ด้อยคุณภาพนำออกประมูลถึง 5-6 หมื่นล้านบาทปีหน้า หวังเข้าประมูลได้งานเข้ามือ 1-2 หมื่นล้านบาท ดันพอร์ตโตจากปีนี้ที่มี 4.4 หมื่นล้านบาท คาดรายได้ปีหน้าโต 20%จากพอร์ตโต-ซื้อหนี้ได้ราคาต่ำ เล็งหาจังหวะบริหารหนี้ในสหรัฐ-ยุโรป หลังเกิดปัญหาการเงิน
นายเอนก ปิ่นวนิชย์กุล กรรมการผู้จัดการบริหารสินทรัพย์ บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP เปิดเผยว่า บริษัทคาดปี 2552จะมีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่สถาบันการเงินในประเทศไทยออกนำมาประมูล 50,000 -60,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่บริษัทมีพอร์ต 44,024 ล้านบาท ส่วนในประเทศมาเลเซียจะมีมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก จากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะลอตัว ซึ่งบริษัทจะเข้าไปประมูลสินทรัพย์ด้วยคุณภาพในประเทศไทยมูลค่า 10,000 -20,000 ล้านบาท และในประเทศมาเลเซียจำนวน 2,500 ล้านบาท จะส่งผลให้ปีหน้าบริษัทมียอดบริหารหนี้เพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการที่ International Finance Corporation หรือ IFC เข้ามาถือหุ้นใน ACAP อันจะส่งผลดีในการทำธุรกิจของบริษัทที่จะขยายงานไปรับบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในต่างประเทศ จากที่ IFC เป็นสมาชิกธนาคารโลก และจากเกิดปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพตต่ำสหรัฐนั้น ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มมีการหารือกับทาง IFC ว่าจะสามารถเข้าไปทำธุรกิจอะไรได้บ้าง ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะเข้าไปบริหารหนี้ด้อยฯในต่างประเทศสหรัฐและยุโรป ที่จะมีออกมาจำนวนมากจากปัญหาที่เกิดขึ้น
สำหรับในเบื้องต้นนั้นบริษัทจะเน้นทำธุรกิจในประเทศแถบเอเชียก่อน โดยบริษัทยังไม่ต้องการขยายงานไปประเทศที่บริษัทไม่คุ้นเคย โดยบริษัทมีแผนที่จะไปตั้งบริษัทในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในประเทศ ฟิลลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมกับพันธมิตรแต่ละประเทศหรือไม่ หลังจากที่บริษัทตั้งบริษัทที่ประเทศมาเลเซียแล้ว และบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน99%
"จากปัญหาวิกฤตการเงินโลกนั้นทำให้จะมีหนี้NPLออกมาจำนวนมาก ซึ่งการที่ IFC เข้ามาถือหุ้นของบริษัทนั้นก็จะส่งผลดีต่อการทำธุรกิจของบริษัทในอนาคตในการแนะนำงานเข้าไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มที่มีหารือกันว่าจะเข้าไปบริหารหนี้ที่ไหนใดได้บ้าง ซึ่งบริษัทดูอยู่ว่าจะไปบริหารหนี้ฯในสหรัฐและยุโรป แต่เบื้องต้นเราอยากรับงานในประเทศแถบเอเชียก่อน " นายเอนก กล่าว
อย่างไรก็ตาม ACAP ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะใช้เงินลงทุนปีหน้าในการซื้อหนี้จำนวนเท่าใด เพราะขึ้นอยู่กับการเจรากับสถาบันการเงินว่าจะมีการขายหนี้ด้อยคุณภาพให้บริหารโดยให้ส่วนลดเท่าไร แต่จากภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าจะไม่ดีนั้นเชื่อว่าจะได้รับส่วนลดในการบริหารหนี้ประมาณ 20%ขึ้นไป เพราะ มีความเสี่ยงสูงในการเรียกเก็บหนี้ โดยเงินที่จะนำไปซื้อหนี้นั้นบริษัทจะนำมาจากการกู้สถาบันการเงิน และคาดว่าจะไม่ใช้เงินสดของบริษัทที่มีอยู่
1,900 ล้านบาทไปซื้อทั้งหมด
นายเอนก กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 20%จากปีนี้ที่คาดมีรายได้ 1,400 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น140%จากปี 2550 ที่ACAPมีรายได้ 581.72 ล้านบาท โดยคาดสิ้นปีนี้พอร์ตบริหารหนี้สินด้อยคุณภาพACAP จะอยู่ที่ระดับ 45,000 -46,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มี 44,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าผลตอบแทนจากการบริหารหนี้ฯในปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 20%ขึ้นไป จากเดิมที่มีประมาณ 15% เพราะ ความเสี่ยงในการบริหารหนี้เพิ่มจากการชำระนี้และเรียกเก็บนี้จากลูกค้าทำได้ลำบากมากขึ้นทำให้ได้รับส่วนลดจากการเข้าซื้อหนี้
ทั้งนี้ ACAP คาดว่าบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด จะสามารถชำระหนี้ที่เหลืออีก 167 ล้านบาท หมดในภายสิ้นปีนี้ และคาดว่าในไตรมาส1/52 บริษัทจะถึงจุดคุ้มทุนจากการเข้าไปลงทุนในแคปปิตอล โอเค
นายเอนก ปิ่นวนิชย์กุล กรรมการผู้จัดการบริหารสินทรัพย์ บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP เปิดเผยว่า บริษัทคาดปี 2552จะมีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่สถาบันการเงินในประเทศไทยออกนำมาประมูล 50,000 -60,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่บริษัทมีพอร์ต 44,024 ล้านบาท ส่วนในประเทศมาเลเซียจะมีมูลค่า 2 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก จากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะลอตัว ซึ่งบริษัทจะเข้าไปประมูลสินทรัพย์ด้วยคุณภาพในประเทศไทยมูลค่า 10,000 -20,000 ล้านบาท และในประเทศมาเลเซียจำนวน 2,500 ล้านบาท จะส่งผลให้ปีหน้าบริษัทมียอดบริหารหนี้เพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการที่ International Finance Corporation หรือ IFC เข้ามาถือหุ้นใน ACAP อันจะส่งผลดีในการทำธุรกิจของบริษัทที่จะขยายงานไปรับบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในต่างประเทศ จากที่ IFC เป็นสมาชิกธนาคารโลก และจากเกิดปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพตต่ำสหรัฐนั้น ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้เริ่มมีการหารือกับทาง IFC ว่าจะสามารถเข้าไปทำธุรกิจอะไรได้บ้าง ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาที่จะเข้าไปบริหารหนี้ด้อยฯในต่างประเทศสหรัฐและยุโรป ที่จะมีออกมาจำนวนมากจากปัญหาที่เกิดขึ้น
สำหรับในเบื้องต้นนั้นบริษัทจะเน้นทำธุรกิจในประเทศแถบเอเชียก่อน โดยบริษัทยังไม่ต้องการขยายงานไปประเทศที่บริษัทไม่คุ้นเคย โดยบริษัทมีแผนที่จะไปตั้งบริษัทในการบริหารหนี้ด้อยคุณภาพในประเทศ ฟิลลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมกับพันธมิตรแต่ละประเทศหรือไม่ หลังจากที่บริษัทตั้งบริษัทที่ประเทศมาเลเซียแล้ว และบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน99%
"จากปัญหาวิกฤตการเงินโลกนั้นทำให้จะมีหนี้NPLออกมาจำนวนมาก ซึ่งการที่ IFC เข้ามาถือหุ้นของบริษัทนั้นก็จะส่งผลดีต่อการทำธุรกิจของบริษัทในอนาคตในการแนะนำงานเข้าไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเริ่มที่มีหารือกันว่าจะเข้าไปบริหารหนี้ที่ไหนใดได้บ้าง ซึ่งบริษัทดูอยู่ว่าจะไปบริหารหนี้ฯในสหรัฐและยุโรป แต่เบื้องต้นเราอยากรับงานในประเทศแถบเอเชียก่อน " นายเอนก กล่าว
อย่างไรก็ตาม ACAP ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าจะใช้เงินลงทุนปีหน้าในการซื้อหนี้จำนวนเท่าใด เพราะขึ้นอยู่กับการเจรากับสถาบันการเงินว่าจะมีการขายหนี้ด้อยคุณภาพให้บริหารโดยให้ส่วนลดเท่าไร แต่จากภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าจะไม่ดีนั้นเชื่อว่าจะได้รับส่วนลดในการบริหารหนี้ประมาณ 20%ขึ้นไป เพราะ มีความเสี่ยงสูงในการเรียกเก็บหนี้ โดยเงินที่จะนำไปซื้อหนี้นั้นบริษัทจะนำมาจากการกู้สถาบันการเงิน และคาดว่าจะไม่ใช้เงินสดของบริษัทที่มีอยู่
1,900 ล้านบาทไปซื้อทั้งหมด
นายเอนก กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 20%จากปีนี้ที่คาดมีรายได้ 1,400 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น140%จากปี 2550 ที่ACAPมีรายได้ 581.72 ล้านบาท โดยคาดสิ้นปีนี้พอร์ตบริหารหนี้สินด้อยคุณภาพACAP จะอยู่ที่ระดับ 45,000 -46,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มี 44,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าผลตอบแทนจากการบริหารหนี้ฯในปีหน้าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 20%ขึ้นไป จากเดิมที่มีประมาณ 15% เพราะ ความเสี่ยงในการบริหารหนี้เพิ่มจากการชำระนี้และเรียกเก็บนี้จากลูกค้าทำได้ลำบากมากขึ้นทำให้ได้รับส่วนลดจากการเข้าซื้อหนี้
ทั้งนี้ ACAP คาดว่าบริษัท แคปปิตอล โอเค จำกัด จะสามารถชำระหนี้ที่เหลืออีก 167 ล้านบาท หมดในภายสิ้นปีนี้ และคาดว่าในไตรมาส1/52 บริษัทจะถึงจุดคุ้มทุนจากการเข้าไปลงทุนในแคปปิตอล โอเค