xs
xsm
sm
md
lg

แบ่งเค็กเงินกองทุนตลาดหุ้น 50%กระจายสู่บล.สมาชิก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมาคมโบรกเกอร์ เสนอตลาดหลักทรัพย์ฯจัดสรรเงิน 1.3 หมื่นล้านบาทก่อนแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน แบ่งเป็น 6.5 พันล้านบาทตั้งกองทุนพัฒนาตลาดทุน ที่เหลืออีก 6.5 พันลานบาท กระจายให้บริษัทหลักทรัพย์สมาชิก พร้อมศึกษาแนวทางอยู่รอดรองรับการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น เล็งให้ลูกค้าใหม่เปิดบัญชีเซ็นยินยอมโอนย้ายบัญชีอัตโนมัติหากมีการควบรวมกิจการออกเป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม เอื้อการควบรวมอนาคต ด้านภัทรียา แจง เบื้องต้นโครงสร้างผู้ถือหุ้น 3 กลุ่ม บล. กองทุนพัฒนาตลาดทุน ประชาชนทั่วไป ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาศึกษาแบ่งเงินกองทุน

รายงานข่าวจากคณะกรรมการบริหาร สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ถึง ความคืบหน้าในการพิจารณาแปรรูปโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า เบื้องต้นคณะกรรมการมีความเห็นให้จัดสรรหุ้นหรือเงินจากการแปลงสภาพของตลาดหลักทรัพย์แห่งประไทยจำนวนประมาณ 17,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นจัดสรรสินทรัพย์ที่ไม่เป็นตัวเงินมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท ให้คงอยู่ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนสินทรัพย์ที่เป็นตัวเงินประมาณ 13,000 ล้านบาท เห็นควรนำมาจัดตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน 50% หรือจำนวน 6,500 ล้านบาท และอีก 50%หรือจำนวน 6,500 ล้านบาทนั้นจัดสรรเงินหรือเป็นหุ้นให้แก่สมาชิกตลาดหลักทรัพย์ คือ บริษัทหลักทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันจำนวน 39 แห่ง

พร้อมทั้ง เสนอให้บริษัทศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มจัดเก็บค่าธรรมเนียมชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (เคลียริ่งฟี) ในปี 2553 โดยบริษัทหลักทรัพย์จะแจ้งให้เก็บค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดไปยังลูกค้า ได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชัน) 0.25% ค่าธรรมเนียมซื้อขาย (เทรดดิ้งฟรี) และค่าเคลียริ่งฟี 0.001% การดำเนินการดังกล่าวเพื่อรองรับการเปิดเสรีค่าค่าคอมมิชชั่นในปี 2555 รวมทั้งเพื่อไม่ให้เป็นภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทหลักทรัพย์ แต่หากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ฯจะเริ่มจัดเก็บค่าเคลียริ่งฟีก่อนปี 2553 จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถเรียกเก็บค่าเคลียริ่งฟีไปยังลูกค้าได้

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การจัดโครงสร้างผู้ถือหุ้นของตลาดหลักทรัพย์และการจัดสรรวงเงินของตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนที่จะมีการแปลงสภาพตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นบริษัทจำกัด (มหาชน) นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งในเบื้องต้นตามข้อเสนอของทางบอสตัล คอลซัลติ้ง หรือ บีซีจี ซึ่งเป็นที่ปรึกษา นั้นตลาดหลักทรัพย์ฯได้กำหนดให้กลุ่มผู้ถือหุ้นเป็น 3 กลุ่ม คือ บริษัทหลักทรัพย์ ประชาชนทั่วไป และกองทุนที่ตลาดหลักทรัพย์จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาตลาดทุนในระยะยาวโดยจะถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากัน

ส่วนเม็ดเงินของตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น อยู่ระหว่างพิจารณาจะจัดสรรให้กองทุนพัฒนาตลาดทุน จำนวนเท่าไร และจัดสรรไว้ในการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์สัดส่วนเท่าไรเพื่อเพียงพอต่อการดำเนินงานในอนาคต แต่ในเรื่องการถือหุ้นการจัดสรรวงเงินนั้นยังไม่ได้สรุป เพราะยังมีเวลาในการพิจารณาจากต้องรอให้กฎหมายในเรื่องที่ตลาดหลักทรัพย์จะมีการแบบรูปออกมาก่อน และหลังจากนั้นจะมีการหารือกับผู้เกี่ยวข้องต่างๆ ซึ่งโบรกเกอร์สามารถที่จะเสนอความเห็นมาได้

“เงินกองทุนตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีกว่า 1 หมื่นล้านบาทนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพิจารณาว่าจะนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุนในระยะยาวเท่าไร ที่เหลือจะนำมาแปลงเป็นหุ้นเพื่อจัดสรรให้โบรกเกอร์เข้ามาถือหุ้นของตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่จะไม่ได้มีการจัดสรรเป็นเม็ดเงินให้”นางภัทรียา กล่าว

สำหรับในช่วงแรกที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมตัวในการแปลงสภาพ คือการตลาดการปรับโครงสร้างการดำเนินงานและการจัดทำแผนการดำเนินงาน ซึ่งถือเป็นช่วงที่มีความสำคัญมากในการกำหนดทิศทางการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ หากภาวะตลาดหุ้นไม่ดีอาจจะส่งผลกระทบการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเรื่องเป้าหมายรายได้ มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ได้

ทั้งนี้ ณ ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ จะยังคงเป้าหมายการดำเนินงานในระดับสูงเหมือนเดิม โดย 5 ปีข้างหน้า จะมีมาร์เกคแคป 12 ล้านล้านบาท มีรายได้ 4 พันล้านบาท ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพยายามทำให้ได้ตามเป้าหมาย และเข้าจดทะเบียนในปี 2554 โดยขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการดำเนินงานปีหน้า

ด้านคณะทำงานเพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์ได้เสนอให้มีการเพิ่มข้อความเกี่ยวกับการโอนลูกค้าโดยอัตโนมัติในเอกสารการเปิดบัญชีของลูกค้า (เฉพาะรายใหม่) เนื่องจากการควบรวมบริษัทหลักทรัพย์ที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์ที่ถูกควบรวมจะต้องลงนามให้ความยินยอมก่อนจึงจะสามารถซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทใหม่ได้ทำให้เป็นภาระแก่ลูกค้าทำให้บริษัทหลักทรัพย์ที่มีต้นทุนในการบริหารงานที่สูงขึ้น

ดังนั้นเพื่อให้การโอนย้ายบัญชีลูกค้าเป็นไปโดยอัตโนมัต ซึ่งจะอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าควรจะมีการกำหนดข้อตกลงที่เป็นมาตรฐานของอุตสาหกรรม โดยให้ลูกค้าลงนามยินยอมไว้ก่อน และเมื่อเกิดการควบรวมกิจการ บริษัทหลักทรัพย์จะต้องมีหนังสือแจ้งให้ลูกค้าทราบ และเปิดโอกาสให้ลูกค้าที่ไม่ประสงค์จะโอนบัญชีไปยังบริษัทไม่สามารถแจ้งปฏิเสธได้

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารสมาคมบริษัทหลักทรัพย์พิจารณาแล้วเห็นด้วยที่จะให้มีการเพิ่มข้อความเกี่ยวกับการโอนลูกค้าโดยอัตโนมัติในเอกสารการเปิดบัญชีลูกค้าใหม่ เพื่อรองรับการควบรวมกิจการในอนาคต ส่วนลูกค้าปัจจุบันนั้น บริษัทหลักทรัพย์จะต้องพยายามที่จะดำเนินการตามขั้นตอนปกติเช่นเดียวกับลูกค้าราใหม่ พร้อมกันนี้จะได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เกี่ยวกับการขอให้ลูกค้าสามารถให้วงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ถูกควบรวมกิจการ เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ที่บริษัทหลักทรัพย์ใหม่ในช่วงระยะเวลา 6 เดือนแรก เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

ส่วนคณะทำงานเพื่อศึกษาขอบเขตของการประกอบธุรกรรม ได้เสนอผลศึกษาว่าขณะนี้มีผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมาใหม่หลายชนิดทั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดสัญญาซื้อขายล่าวงหน้า ซึ่งจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาและทำความเข้าใจในรายละเอียดผลิตภัณฑ์ทั้งผู้ปฏิบัติงาน นักลงทุน ดังนั้นหากจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆขึ้นมาอีกในช่วงระยะนี้ อาจจะเป็นการสร้างภาระให้กับธุรกิจมากยิ่งขึ้น จึงเสนอให้นำผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในปัจจุบันมาเป็นเครื่องมือในการขยายธุรกิจไปช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนแล้ว กลับมาพิจารณาหาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะช่วยสร้างเสริมสร้างรายได้ให้กับธุรกิจหลักทรัพย์ต่อไป

คณะทำงานเสนอให้สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญในประเทศหรือต่างประเทศ ทำการศึกษาถึงผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาช่วยเสริมสร้างการขยายฐานรายได้ของธุรกิจหลักทรัพย์และโครงสร้างการลงทุนในแต่ละตลาด ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า และตลาดตราสารหนี้ รวมถึงการเชื่อมโยงแต่ละตลาดเข้าด้วยกัน เพื่อให้นักลงทุนเกิดความคล่องตัวในการลงทุน ตลอดจนการศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคในการขยายฐานนักลงทุนและเครื่องมือที่จะนำไปใช้ในการขยายฐานลูกค้าต่อไป และคณะทำงานได้เสนอให้บริษัทหลักทรัพย์ประกอบธุรกิจในการขายประกันได้เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเป็นช่องทางหนึ่งในการขยายฐานลูกค้าไปสู่ระดับมหภาคมากยิ่งขึ้น

ด้านคณะทำงานเพื่อพิจารณาเรื่องการขยายฐานลูกค้าหรือนักลงทุน ได้เสนอแนวทางและการดำเนนิงานเพื่อขยายฐานลูกค้าหรือนักลงทุนจากการประชุมกับสายงานการตลาดศูยน์ระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ ในการกำหนดเป้าหมายการขายฐานลูกค้าของบริษัทหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 บัญชี ในปี 2551 ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้มีการดำเนินโคงการนี้แล้ว และคณะทำงานเสนอให้ตลาดหลักทรัพย์กำหนดนโยบายการขยาย.นนักลงทุนให้มีความชัดเจนและมีความต่อเนื่อง และคณะทำงานให้ผลักดันการขอใช้โปรแกรมจำลองการซื้อขาย เพื่อมีความเข้าใจวิธีการซื้อขาย เป็นส่วนหนึ่งในการขยายฐานนักลงทุนและให้ตลาดหลักทรัพย์ฯมีการจัดให้ข้อมูลความรู้ในแต่ละตลาด คือตลาดหลักทรัพย์ อนุพันธ์ตราสารหนี้และให้สมาคมวิเคราะห์มีการเผยแพร่บทวิเคราะห์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและเสนอให้ผู้ออกบทวิเคราะห์ควรมีความรับผิดชอบมากขึ้นในการออกบทวิเคราะห์

ส่วนคณะทำงานเพื่อพิจารณาเรื่องปริมาณและคุณภาพเจ้าหน้าที่การตลาด และนักวิเคราะห์ ได้มีการประสายงานร่วมกับทางสถาบันพัฒนาตลาดทุน (TSI ) ในการพัฒนาหลักสูตรในการพัฒนาเจ้าหน้าที่การตลาด ขณะที่คณะทำงานเพื่อพิจารณาเรื่องการซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อยัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งคณะทำงานได้เสนอแนวทางข้อให้ก.ล.ต.รวบรวมกฎระเบียบที่บังคับใช้ในปัจจุบันอันเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ มาเป็นประกาศใช้เพียงฉบับเดียว ขอให้กำหนดการขึ้นบัญชี Watch list และRestricted List ในส่วนที่เกี่ยวกับการออกบทวิเคราะห์ให้ชัดเจน และขอให้ทีมงานตรวจสอบของก.ล.ตงมีแนวทางในการตรวจสอบการประกอบธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อบัญชีหลักทรัพย์เป็นแนวทางเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น