กบข.จ้างผู้จัดการกองทุนในประเทศ 4 ราย บริหารเงิน 5 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนความเสี่ยงต่ำ โดยกำหนดพอร์ตลงทุนตราสารหนี้ 4.2 หมื่นล้าน และอีก 8 พันล้านในหุ้น ระบุเน้นกำกับดูแล และตรวจสอบการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินผลงานทุก 6 เดือน หวังเอื้อประโยชน์กับสมาชิกอย่างแท้จริง
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ได้คัดเลือกผู้จัดการกองทุนรายย่อยในประเทศเพื่อบริหารเงินลงทุนรอบใหม่ โดยกบข. ได้ประกาศผลการคัดเลือกและว่าจ้างผู้จัดการกองทุนรายย่อยในประเทศที่ได้ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ของกองทุนใหม่จำนวน 4 ราย เพื่อรับหน้าที่บริหารพอร์ตการลงทุนทั้งตราสารหนี้และตราสารทุนในประเทศครั้งนี้ รวมประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นตราสารหนี้จำนวน 42,000 ล้านบาท และตราสารทุนจำนวน 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้จัดการกองทุนภายในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กบข. ได้มีการว่าจ้างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ภายนอกบริหารกองทุนตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารสินทรัพย์และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในการสร้างผลตอบแทน
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาคัดเลือกผู้จัดการกองทุนรายย่อย ได้ใช้เงื่อนไขหลักเกณฑ์สำคัญ ได้แก่ ความมั่นคง ประสบการณ์ และผลการดำเนินงานของบริษัท กระบวนการตัดสินใจลงทุน แนวทางและกลยุทธ์การบริหารจัดการความเสี่ยง ตลอดจนจรรยาบรรณในการบริหารกองทุน
สำหรับผู้จัดการกองทุนรายย่อยที่ได้รับการแต่งตั้งจำนวน 4 รายในครั้งนี้ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ,บลจ. วรรณ จำกัด, บลจ. ทิสโก้ จำกัด และ บลจ.เอ็ม เอฟ ซี จำกัด (มหาชน)
โดยในส่วนของ บลจ. กสิกรไทย จำกัด และบลจ. วรรณ จำกัด ได้รับมอบหมายให้ดูแลพอร์ตการลงทุนทั้งประเภทตราสารหนี้และตราสารทุน ส่วนบลจ. เอ็ม เอฟ ซี จำกัด (มหาชน) ได้รับมอบหมายให้ดูแลการลงทุนในตราสารหนี้ และ บลจ. ทิสโก้ จำกัด ได้รับมอบหมายให้ดูแลการลงทุนในตราสารทุน ทั้งนี้ เงินลงทุนในส่วนของตราสารหนี้นั้น กบข.ได้จัดสรรให้บริษัทจัดการกองทุนทั้ง 3 รายบริหารเงินลงทุนรายละ 14,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กบข. จะกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนภายนอกอย่างใกล้ชิด และประเมินผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนทุก 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการว่าจ้างผู้จัดการกองทุนจะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยง และเป็นประโยชน์กับสมาชิกอย่างแท้จริง
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของเอ็มเอฟซีได้บริหารพอร์ตในส่วนตราสารหนี้ มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งกรอบการลงทุนหลักๆ กบข.ต้องการให้เราบริหารผลตอลแทนสูงกว่าเบนช์มาร์ก ซึ่งเราเองต้องทุ่มเทความพยายามให้เต็มที่ ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารพอร์ตรวมถึงกบข. ในการกำหนดเบนช์มาร์กที่มีความเหมาะสมมากกว่านี้
ทั้งนี้ สาเหตุที่กบข.เลือกเอ็มเอฟซีเป็นหนึ่งในผู้บริหารเงินลงทุนครั้งนี้ มองว่าเขาคงดูผลการดำเนินงานในอดีต รวมถึงระบบบริหารจัดการและระบบความเสี่ยงด้วย ซึ่งเราเองมั่นใจว่าการบริหารเงินลงทุนในครั้งนี้ จะสามารถทำได้ดีตามเป้าหมายที่เราวางไว้ ซึ่งภาวะการลงทุนหลังจากนี้เอง คงไม่มีอะไรน่ากังวลมากเท่าช่วงที่ผ่านมาแล้ว
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด หนึ่งในบลจ.ที่ได้รับการคัดเลือกจากกบข. ให้บริหารเงินลงทุน กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่กบข.วางใจให้เราบริหารเงินลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงที่ภาวะการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศผันผวนอยู่ในขณะนี้ เราเองคงต้องบริหารจัดการกองทุนอย่างระมัดระวัง และเต็มที่เต็มกำลัง
เมื่อเร็วๆ นี้ กบข. แถลงผลการดำเนินงานของ กบข. ณ สิ้นเดือนกันยายน 2551 ว่า กบข.มีสินทรัพย์สุทธิทั้งสิ้น 391,006.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2/2551 จำนวน 14,779.70 ล้านบาท โดยอัตราผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 12 เดือน (ต.ค. 50 – ก.ย.51 ) ติดลบร้อยละ 4.55 ในขณะที่ผลตอบแทนสุทธิย้อนหลัง 3 ปี (2548-2550) อยู่ที่ร้อยละ 3.79 ย้อนหลัง 5 ปี ( 2546-2550 ) อยู่ที่ร้อยละ 4.00 และย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน (2540-2550) อยู่ที่ร้อยละ 7.24
โดยปัจจุบัน กบข. มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศร้อยละ 69.80 ตราสารทุนในประเทศร้อยละ 8.33 ตราสารต่างประเทศร้อยละ14.06 กองทุนอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 4.04 และการลงทุนทางเลือกร้อยละ 3.77
อนึ่ง กองทุนเพื่อการเกษียณอายุเช่น กบข.มีการกำหนดกรอบและกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยผลตอบแทนในระยะสั้นอาจผันผวนขึ้น-ลงตามภาวะเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนในแต่ละช่วง อย่างไรก็ตาม การลงทุนของ กบข.ยังคงให้ความสำคัญกับการระมัดระวังการลงทุน เป็นไปตามกรอบที่คณะกรรมการลงทุน และเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อสร้างผลตอบแทนเงินออมในระยะยาวให้กับสมาชิกให้ได้ตามเป้าหมาย
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ได้คัดเลือกผู้จัดการกองทุนรายย่อยในประเทศเพื่อบริหารเงินลงทุนรอบใหม่ โดยกบข. ได้ประกาศผลการคัดเลือกและว่าจ้างผู้จัดการกองทุนรายย่อยในประเทศที่ได้ผ่านการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ต่างๆ ของกองทุนใหม่จำนวน 4 ราย เพื่อรับหน้าที่บริหารพอร์ตการลงทุนทั้งตราสารหนี้และตราสารทุนในประเทศครั้งนี้ รวมประมาณ 50,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นตราสารหนี้จำนวน 42,000 ล้านบาท และตราสารทุนจำนวน 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้จัดการกองทุนภายในวันที่ 21 พฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กบข. ได้มีการว่าจ้างบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ภายนอกบริหารกองทุนตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารสินทรัพย์และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงในการสร้างผลตอบแทน
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาคัดเลือกผู้จัดการกองทุนรายย่อย ได้ใช้เงื่อนไขหลักเกณฑ์สำคัญ ได้แก่ ความมั่นคง ประสบการณ์ และผลการดำเนินงานของบริษัท กระบวนการตัดสินใจลงทุน แนวทางและกลยุทธ์การบริหารจัดการความเสี่ยง ตลอดจนจรรยาบรรณในการบริหารกองทุน
สำหรับผู้จัดการกองทุนรายย่อยที่ได้รับการแต่งตั้งจำนวน 4 รายในครั้งนี้ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด ,บลจ. วรรณ จำกัด, บลจ. ทิสโก้ จำกัด และ บลจ.เอ็ม เอฟ ซี จำกัด (มหาชน)
โดยในส่วนของ บลจ. กสิกรไทย จำกัด และบลจ. วรรณ จำกัด ได้รับมอบหมายให้ดูแลพอร์ตการลงทุนทั้งประเภทตราสารหนี้และตราสารทุน ส่วนบลจ. เอ็ม เอฟ ซี จำกัด (มหาชน) ได้รับมอบหมายให้ดูแลการลงทุนในตราสารหนี้ และ บลจ. ทิสโก้ จำกัด ได้รับมอบหมายให้ดูแลการลงทุนในตราสารทุน ทั้งนี้ เงินลงทุนในส่วนของตราสารหนี้นั้น กบข.ได้จัดสรรให้บริษัทจัดการกองทุนทั้ง 3 รายบริหารเงินลงทุนรายละ 14,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กบข. จะกำกับดูแลและตรวจสอบการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนภายนอกอย่างใกล้ชิด และประเมินผลการดำเนินงานของผู้จัดการกองทุนทุก 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการว่าจ้างผู้จัดการกองทุนจะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยง และเป็นประโยชน์กับสมาชิกอย่างแท้จริง
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของเอ็มเอฟซีได้บริหารพอร์ตในส่วนตราสารหนี้ มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งกรอบการลงทุนหลักๆ กบข.ต้องการให้เราบริหารผลตอลแทนสูงกว่าเบนช์มาร์ก ซึ่งเราเองต้องทุ่มเทความพยายามให้เต็มที่ ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารพอร์ตรวมถึงกบข. ในการกำหนดเบนช์มาร์กที่มีความเหมาะสมมากกว่านี้
ทั้งนี้ สาเหตุที่กบข.เลือกเอ็มเอฟซีเป็นหนึ่งในผู้บริหารเงินลงทุนครั้งนี้ มองว่าเขาคงดูผลการดำเนินงานในอดีต รวมถึงระบบบริหารจัดการและระบบความเสี่ยงด้วย ซึ่งเราเองมั่นใจว่าการบริหารเงินลงทุนในครั้งนี้ จะสามารถทำได้ดีตามเป้าหมายที่เราวางไว้ ซึ่งภาวะการลงทุนหลังจากนี้เอง คงไม่มีอะไรน่ากังวลมากเท่าช่วงที่ผ่านมาแล้ว
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด หนึ่งในบลจ.ที่ได้รับการคัดเลือกจากกบข. ให้บริหารเงินลงทุน กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่กบข.วางใจให้เราบริหารเงินลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งในช่วงที่ภาวะการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศผันผวนอยู่ในขณะนี้ เราเองคงต้องบริหารจัดการกองทุนอย่างระมัดระวัง และเต็มที่เต็มกำลัง
เมื่อเร็วๆ นี้ กบข. แถลงผลการดำเนินงานของ กบข. ณ สิ้นเดือนกันยายน 2551 ว่า กบข.มีสินทรัพย์สุทธิทั้งสิ้น 391,006.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2/2551 จำนวน 14,779.70 ล้านบาท โดยอัตราผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 12 เดือน (ต.ค. 50 – ก.ย.51 ) ติดลบร้อยละ 4.55 ในขณะที่ผลตอบแทนสุทธิย้อนหลัง 3 ปี (2548-2550) อยู่ที่ร้อยละ 3.79 ย้อนหลัง 5 ปี ( 2546-2550 ) อยู่ที่ร้อยละ 4.00 และย้อนหลังตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน (2540-2550) อยู่ที่ร้อยละ 7.24
โดยปัจจุบัน กบข. มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศร้อยละ 69.80 ตราสารทุนในประเทศร้อยละ 8.33 ตราสารต่างประเทศร้อยละ14.06 กองทุนอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 4.04 และการลงทุนทางเลือกร้อยละ 3.77
อนึ่ง กองทุนเพื่อการเกษียณอายุเช่น กบข.มีการกำหนดกรอบและกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยผลตอบแทนในระยะสั้นอาจผันผวนขึ้น-ลงตามภาวะเศรษฐกิจและตลาดเงินตลาดทุนในแต่ละช่วง อย่างไรก็ตาม การลงทุนของ กบข.ยังคงให้ความสำคัญกับการระมัดระวังการลงทุน เป็นไปตามกรอบที่คณะกรรมการลงทุน และเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อสร้างผลตอบแทนเงินออมในระยะยาวให้กับสมาชิกให้ได้ตามเป้าหมาย
