ธปท.ระบุไม่ห่วง แม้แบงก์จะชะลอปล่อยกู้อาจมีโอกาสให้คนต้องหันพึ่งเงินกู้นอกระบบ เหตุในปัจจุบันประชาชนมีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ 36% ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับสมัยวิกฤตปี 40 สูงถึง 50% ขณะเดียวกันภาพรวมการขยายตัวสินเชื่อยังดีอยู่ ส่วนการปรับเพิ่มเพดานรายได้ขั้นต่ำเป็นผลดีให้สถาบันการเงินคัดเลือกลูกค้าที่มีคุณภาพและผู้บริโภคระมัดระวังใช้จ่ายมากขึ้น
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่า หากสถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยสินเชื่ออาจมีโอกาสให้ผู้กู้หันไปกู้เงินนอกระบบมากขึ้นว่า แม้ธปท.จะไม่ได้เก็บข้อมูลเงินกู้นอกระบบ แต่เท่าที่ตรวจสอบดูทุกอย่างขณะนี้ยังไม่ปัญหาและภาพรวมทุกอย่างยังดีอยู่ โดยขณะนี้สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ประมาณ 36% ซึ่งต่างกับในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2540 ที่มีสัดส่วนมากถึง 50% แม้ว่าจะลดลงไม่มากนัก แต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันขณะนี้อัตราการขยายตัวสินเชื่อโดยรวมยังดีอยู่ แม้ตัวเลขจะลดลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ
"เงินกู้นอกระบบไม่ได้เลวร้ายทุกราย บางรายเป็นแหล่งเงินกู้ที่ดี เห็นได้จากการขอขึ้นทะเบียนคนจนของคนที่เป็นหนี้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส.ในช่วงที่ผ่านมา โดยในความเป็นจริงเงินกู้นอกระบบดังกล่าวเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการขอกู้จากกลุ่มเครือญาติ ถือว่าเยอะมาก แต่ก็สามารถช่วยเหลือให้ผู้กู้นำเงินนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างไรก็ตามในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ต้องถามกลับไปยังผู้กู้ด้วยว่าเขาต้องการที่จะขอกู้หรือไม่ เพราะบางคนเลือกที่จะไม่กู้และปรับตัวไปทำอย่างอื่นแทนก็มี” นายเกริก กล่าว
นายเกริก กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ธนาคารต่างชาติบางแห่งมีการปรับขึ้นเพดานรายได้ขั้นต่ำของผู้ถือบัตรจากเดิมที่กำหนดรายได้ขั้นต่ำเป็น 18,000-20,000 บาท จากเดิมรายได้ขั้นต่ำที่ระดับ 15,000 บาท นั้น ถือว่าเป็นเรื่องดีของทั้งสองฝ่ายทั้งแง่ของผู้ประกอบการที่เป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการบัตรเครดิตก็สามารถคัดเลือกลูกหนี้ที่มีคุณภาพได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสามารถในการชำระหนี้ด้วย ขณะที่ลูกค้าที่ถือบัตรเครดิตก็จะส่งเสริมให้มีการก่อหนี้น้อยลง รวมถึงยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรปรับตัวลดลงด้วย จึงเป็นเรื่องที่ดีไม่ให้คนมีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนเกินไป
โดยก่อนหน้านี้ สายนโยบายสถาบันการเงินได้รายงานภาพรวมผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ พบว่า การปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาสนี้ขยายตัว 13.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ระดับ 11% โดยสินเชื่อภาคธุรกิจขยายตัวถึง 12.3% ซึ่งสะท้อนความต้องการเงินทุนหมุนเวียนตามต้นทุนวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่สูงขึ้น ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.1% ตามการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ยังลดลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 3 มียอดคงค้าง 432,100 ล้านบาท หรือ 6% ของสินเชื่อรวม เทียบกับไตรมาสก่อนที่ระดับ 6.4%
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่า หากสถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยสินเชื่ออาจมีโอกาสให้ผู้กู้หันไปกู้เงินนอกระบบมากขึ้นว่า แม้ธปท.จะไม่ได้เก็บข้อมูลเงินกู้นอกระบบ แต่เท่าที่ตรวจสอบดูทุกอย่างขณะนี้ยังไม่ปัญหาและภาพรวมทุกอย่างยังดีอยู่ โดยขณะนี้สัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ประมาณ 36% ซึ่งต่างกับในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2540 ที่มีสัดส่วนมากถึง 50% แม้ว่าจะลดลงไม่มากนัก แต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ขณะเดียวกันขณะนี้อัตราการขยายตัวสินเชื่อโดยรวมยังดีอยู่ แม้ตัวเลขจะลดลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ
"เงินกู้นอกระบบไม่ได้เลวร้ายทุกราย บางรายเป็นแหล่งเงินกู้ที่ดี เห็นได้จากการขอขึ้นทะเบียนคนจนของคนที่เป็นหนี้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส.ในช่วงที่ผ่านมา โดยในความเป็นจริงเงินกู้นอกระบบดังกล่าวเกือบครึ่งหนึ่งเป็นการขอกู้จากกลุ่มเครือญาติ ถือว่าเยอะมาก แต่ก็สามารถช่วยเหลือให้ผู้กู้นำเงินนี้ไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างไรก็ตามในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ต้องถามกลับไปยังผู้กู้ด้วยว่าเขาต้องการที่จะขอกู้หรือไม่ เพราะบางคนเลือกที่จะไม่กู้และปรับตัวไปทำอย่างอื่นแทนก็มี” นายเกริก กล่าว
นายเกริก กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ธนาคารต่างชาติบางแห่งมีการปรับขึ้นเพดานรายได้ขั้นต่ำของผู้ถือบัตรจากเดิมที่กำหนดรายได้ขั้นต่ำเป็น 18,000-20,000 บาท จากเดิมรายได้ขั้นต่ำที่ระดับ 15,000 บาท นั้น ถือว่าเป็นเรื่องดีของทั้งสองฝ่ายทั้งแง่ของผู้ประกอบการที่เป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการบัตรเครดิตก็สามารถคัดเลือกลูกหนี้ที่มีคุณภาพได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสามารถในการชำระหนี้ด้วย ขณะที่ลูกค้าที่ถือบัตรเครดิตก็จะส่งเสริมให้มีการก่อหนี้น้อยลง รวมถึงยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรปรับตัวลดลงด้วย จึงเป็นเรื่องที่ดีไม่ให้คนมีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนเกินไป
โดยก่อนหน้านี้ สายนโยบายสถาบันการเงินได้รายงานภาพรวมผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ พบว่า การปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ ไตรมาสนี้ขยายตัว 13.2% จากระยะเดียวกันของปีก่อน เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ระดับ 11% โดยสินเชื่อภาคธุรกิจขยายตัวถึง 12.3% ซึ่งสะท้อนความต้องการเงินทุนหมุนเวียนตามต้นทุนวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่สูงขึ้น ขณะที่สินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.1% ตามการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ยังลดลงต่อเนื่อง โดยในไตรมาสที่ 3 มียอดคงค้าง 432,100 ล้านบาท หรือ 6% ของสินเชื่อรวม เทียบกับไตรมาสก่อนที่ระดับ 6.4%
