ปตท.เคมิคอลหั่นเป้ารายได้ปีนี้ลดลงเหลือ 8.5 หมื่นล้านบาท หายไปเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท และเตรียมทบทวนเป้าหมายรายได้ปีหน้าลงด้วย หลังดีมานด์ช็อก ลูกค้าหยุดซื้อเม็ดพลาสติก ฉุดราคาหล่นวูบตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ คาดเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว เผยไตรมาสนี้หยุดซ่อมบำรุงโรงงานเร็วขึ้นทั้งโรงโอเลเฟล็กซ์และโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกHDPE หวังเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตรับมือวิกฤตการเงินโลกในปีหน้า
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTCH) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ลดลงจาก 9.97 หมื่นล้านบาทเหลือ 8.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากความต้องการเม็ดพลาสติกลดฮวบอย่างหนัก ขณะเดียวกันราคาโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติกHDPE ปรับตัวลดลงอย่างด้วยตามทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว หากราคาน้ำมันดิบมีเสถียรภาพหรือปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกก็จะฟื้นตัวขึ้นมา
นอกจากนี้ บริษัทฯเตรียมทบทวนปรับลดเป้าหมายรายได้ในปี 2552 จากเดิมที่ตั้งไว้ 1.22 แสนล้านบาท เนื่องจากปัจจัยลบภายนอก คงต้องมีการหารือกับคณะกรรมการบริษัทฯก่อน เพราะทิศทางราคาปิโตรเคมีในปีหน้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรนั้น ตอบได้ยาก เพราะไม่สามารถคาดการณ์ผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด และรุนแรงมากน้อยเพียงใด หากมาร์จินปิโตรเคมีปรับลดลงมาก เชื่อว่าผู้ประกอบการที่มีต้นทุนการผลิตสูงก็คงอยู่ได้ยาก ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการได้รับผลกระทบเนื่องจากสต็อกเม็ดพลาสติกลดมูลค่าลง และดีมานด์ช็อก ลูกค้าหยุดสั่งซื้อ ทำให้ผู้ผลิตที่มีสายป่านสั้นอยู่รอดได้ยาก ซึ่งที่ผ่านมา หากส่วนต่างราคาโอเลฟินส์กับแนฟธาต่ำกว่า 250 เหรียญสหรัฐ/ตัน ก็จะมีการหยุดผลิต ทำให้ซัฟพลายหายไปช่วยดึงราคาขึ้นมา
ปัจจุบันราคาเม็ดพลาสติกHDPEได้ปรับลดลงอย่างฮวบฮาบอยู่ที่ 700เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากไตรมาส 3/2551ราคาเฉลี่ยตันละ 1,400-1,500 เหรียญสหรัฐ ฉุดให้ส่วนต่างราคาเอทิลีนกับแนฟธา(สเปรด)ปีนี้ลดลงอยู่ที่ 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน สเปรดโพรพิลีน 424 เหรียญสหรัฐ/ตัน และสเปรดเม็ดพลาสติกHDPE อยู่ที่ 630 เหรียญสหรัฐ/ตัน
** ปิดซ่อมรง.เร็วขึ้นในQ4
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ผนวกความต้องการใช้เม็ดพลาสติกที่หดหายไปในช่วงนี้ บริษัทฯตัดสินใจเลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานเร็วขึ้น โดยไตรมาส 4 นี้ จะหยุดซ่อมบำรุงโรง I1 โอเลเฟล็กซ์ ยูนิตเป็นเวลา 69 วัน โรงงานI4-1 อีก 62 วัน โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกHDPEทั้ง 2 แห่ง16-27 วัน ส่วนโรง I4-2 ปิดซ่อมตามปกติ 50วัน
ซึ่งการปิดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์และโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกHDPE ครั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนผลิต รวมทั้งมีแผนจะใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นในอนาคต หลังราคาก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้นขณะที่แนฟธาราคาถูกลงมาก แต่ทั้งนี้จะคำนึงถึงผลตอบแทนสูงสุด โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบ 14%
" วิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ถือเป็นปัจจัยภายนอกแต่ส่งผลกระทบทำให้รายได้หายไป ผู้ประกอบการที่อยู่ได้จำเป็นต้องมีต้นทุนต่ำ ภาระหนี้สินน้อย "
ส่วนแผนการลงทุนในปีหน้า ยังคงเดินหน้าสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ตามเดิมทั้งโรงโอเลฟินส์แครกเกอร์ 1 ล้านตัน โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก 3โรง ส่วนโครงการเล็กก็จะมีการทบทวน คาดว่าปี 2552 ใช้เงินลงทุนประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นและการเข้าสู่วัฎจักรขาลงของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้โครงการลงทุนเอทิลีนแครกเกอร์แห่งใหม่ในตะวันออกกลางและจีนประกาศเลื่อนโครงการออก จากเดิมที่จะแล้วเสร็จในปีหน้าประมาณ 3 ล้านตัน โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกHDPE เลื่อนแล้วเสร็จในปี 2552 ออกไป 1.2 ล้านตัน ซึ่งจะช่วยลดการแข่งขันที่รุนแรงลงระดับหนึ่ง
** เสนอขายหุ้นกู้หมื่นล.1-3 ธ.ค.นี้
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เสนอขายให้กับสถาบันและประชาชนรายย่อยขั้นต่ำ 1แสนบาท อายุหุ้นกู้ 5ปี และ 7ปี โดยจะทำบุคบลิวด์เพื่อจัดสรรวงเงินหุ้นกู้สำหรับสถาบันและรายย่อยเท่าไร รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้วย
หุ้นกู้ดังกล่าวจะเสนอขายผ่านธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ทหารไทย และบล.ทิสโก้ ในวันที่ 1-3 ธันวาคมนี้ โดยบริษัทฯได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ A+
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯมีแผนจัดหาเงินทุนประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้จะออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท และที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะกู้เงินสถาบันหรือออกหุ้นกู้เพิ่มเติมในปีหน้า ซึ่งวงเงินดังกล่าวจะใช้ลงทุนโครงการตามแผนลงทุน 5ปีมูลค่า 1แสนล้านบาท
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTCH) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับเป้าหมายรายได้ปีนี้ลดลงจาก 9.97 หมื่นล้านบาทเหลือ 8.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากความต้องการเม็ดพลาสติกลดฮวบอย่างหนัก ขณะเดียวกันราคาโอเลฟินส์และเม็ดพลาสติกHDPE ปรับตัวลดลงอย่างด้วยตามทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว หากราคาน้ำมันดิบมีเสถียรภาพหรือปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ความต้องการใช้เม็ดพลาสติกก็จะฟื้นตัวขึ้นมา
นอกจากนี้ บริษัทฯเตรียมทบทวนปรับลดเป้าหมายรายได้ในปี 2552 จากเดิมที่ตั้งไว้ 1.22 แสนล้านบาท เนื่องจากปัจจัยลบภายนอก คงต้องมีการหารือกับคณะกรรมการบริษัทฯก่อน เพราะทิศทางราคาปิโตรเคมีในปีหน้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรนั้น ตอบได้ยาก เพราะไม่สามารถคาดการณ์ผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด และรุนแรงมากน้อยเพียงใด หากมาร์จินปิโตรเคมีปรับลดลงมาก เชื่อว่าผู้ประกอบการที่มีต้นทุนการผลิตสูงก็คงอยู่ได้ยาก ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการได้รับผลกระทบเนื่องจากสต็อกเม็ดพลาสติกลดมูลค่าลง และดีมานด์ช็อก ลูกค้าหยุดสั่งซื้อ ทำให้ผู้ผลิตที่มีสายป่านสั้นอยู่รอดได้ยาก ซึ่งที่ผ่านมา หากส่วนต่างราคาโอเลฟินส์กับแนฟธาต่ำกว่า 250 เหรียญสหรัฐ/ตัน ก็จะมีการหยุดผลิต ทำให้ซัฟพลายหายไปช่วยดึงราคาขึ้นมา
ปัจจุบันราคาเม็ดพลาสติกHDPEได้ปรับลดลงอย่างฮวบฮาบอยู่ที่ 700เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากไตรมาส 3/2551ราคาเฉลี่ยตันละ 1,400-1,500 เหรียญสหรัฐ ฉุดให้ส่วนต่างราคาเอทิลีนกับแนฟธา(สเปรด)ปีนี้ลดลงอยู่ที่ 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน สเปรดโพรพิลีน 424 เหรียญสหรัฐ/ตัน และสเปรดเม็ดพลาสติกHDPE อยู่ที่ 630 เหรียญสหรัฐ/ตัน
** ปิดซ่อมรง.เร็วขึ้นในQ4
ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ผนวกความต้องการใช้เม็ดพลาสติกที่หดหายไปในช่วงนี้ บริษัทฯตัดสินใจเลื่อนการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานเร็วขึ้น โดยไตรมาส 4 นี้ จะหยุดซ่อมบำรุงโรง I1 โอเลเฟล็กซ์ ยูนิตเป็นเวลา 69 วัน โรงงานI4-1 อีก 62 วัน โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกHDPEทั้ง 2 แห่ง16-27 วัน ส่วนโรง I4-2 ปิดซ่อมตามปกติ 50วัน
ซึ่งการปิดซ่อมบำรุงโรงโอเลฟินส์และโรงงานผลิตเม็ดพลาสติกHDPE ครั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนผลิต รวมทั้งมีแผนจะใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นในอนาคต หลังราคาก๊าซธรรมชาติปรับสูงขึ้นขณะที่แนฟธาราคาถูกลงมาก แต่ทั้งนี้จะคำนึงถึงผลตอบแทนสูงสุด โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบ 14%
" วิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ถือเป็นปัจจัยภายนอกแต่ส่งผลกระทบทำให้รายได้หายไป ผู้ประกอบการที่อยู่ได้จำเป็นต้องมีต้นทุนต่ำ ภาระหนี้สินน้อย "
ส่วนแผนการลงทุนในปีหน้า ยังคงเดินหน้าสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ตามเดิมทั้งโรงโอเลฟินส์แครกเกอร์ 1 ล้านตัน โรงงานผลิตเม็ดพลาสติก 3โรง ส่วนโครงการเล็กก็จะมีการทบทวน คาดว่าปี 2552 ใช้เงินลงทุนประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท
นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า จากวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นและการเข้าสู่วัฎจักรขาลงของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทำให้โครงการลงทุนเอทิลีนแครกเกอร์แห่งใหม่ในตะวันออกกลางและจีนประกาศเลื่อนโครงการออก จากเดิมที่จะแล้วเสร็จในปีหน้าประมาณ 3 ล้านตัน โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกHDPE เลื่อนแล้วเสร็จในปี 2552 ออกไป 1.2 ล้านตัน ซึ่งจะช่วยลดการแข่งขันที่รุนแรงลงระดับหนึ่ง
** เสนอขายหุ้นกู้หมื่นล.1-3 ธ.ค.นี้
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เสนอขายให้กับสถาบันและประชาชนรายย่อยขั้นต่ำ 1แสนบาท อายุหุ้นกู้ 5ปี และ 7ปี โดยจะทำบุคบลิวด์เพื่อจัดสรรวงเงินหุ้นกู้สำหรับสถาบันและรายย่อยเท่าไร รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ด้วย
หุ้นกู้ดังกล่าวจะเสนอขายผ่านธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ทหารไทย และบล.ทิสโก้ ในวันที่ 1-3 ธันวาคมนี้ โดยบริษัทฯได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ A+
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯมีแผนจัดหาเงินทุนประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท โดยปีนี้จะออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท และที่เหลืออยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะกู้เงินสถาบันหรือออกหุ้นกู้เพิ่มเติมในปีหน้า ซึ่งวงเงินดังกล่าวจะใช้ลงทุนโครงการตามแผนลงทุน 5ปีมูลค่า 1แสนล้านบาท