โรบินสัน มั่นใจรายได้ทั้งปีเข้าเป้าที่ตั้งไว้โต 11% แม้ไตรมาสสุดท้ายจะต่ำกว่าไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เหตุปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกชะลอตัวส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย พร้อมเดินหน้าเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งที่ ชลบุรี และขอนแก่นในปี 52 ด้วยงบลงทุนกว่า 1.5 พันล้านบาท
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการบริหาร บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4/2551 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ลดลงจากไตรมาส 3/2551 ประมาณ 2-3% แต่ทั้งปียอดรายได้ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 11% แม้บริษัทจะต้องเผชิญกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้มีการใช้จ่ายลดลง
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับรูปแบบของห้างสรรพสินโรบินสัน ด้วยการดึงแบรนด์ของสินค้าชั้นนำต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตัวห้างสรรพสินค้า ตลอดจนได้สร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ขณะเดียวกันยังได้มีการปรับแผนการตลาดของห้างสรรพสินค้าแต่ละสาขาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่
สำหรับปี 2552 บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 2 สาขา มูลค่าการลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท คือ สาขาที่จังหวัดชลบุรี ที่มีกำหนดจะเปิดประมาณช่วงกลางปี และสาขาที่จังหวัดขอนแก่น กำหนดเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 52 ส่วนการตั้งเป้ารายได้คงต้องรอดูทิศทางสภาพเศรษฐกิจก่อน ถ้าหากจีดีพีโตได้ถึง 4% ยอดขายปีหน้าคาดว่าจะโตได้ถึง 5-7%
ขณะที่ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสาขาอุบลราชธานีนั้น คงต้องเลื่อนกำหนดเปิดให้บริการออกไป โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปีหน้า ซึ่งมีสาเหตุเจ้าของธุรกิจที่ไปเช่าพื้นที่ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้การก่อสร้างล่าช้า ส่วนสาขาบางแค ที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหมเมื่อหลายเดือนก่อน และมีแนวโน้มจะปิดตัวลง ตอนนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ภายในสาขา ซึ่งปัจจุบันสามารถเปิดใช้งานได้เพียงบางส่วน และมีสัญญาเช่าระยะยาวอยู่อีก 16 ปี โดยสาขาดังกล่าวมีรายได้ต่ำกว่า 1% ของรายได้รวม จึงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ มีกระแสเงินสดประมาณ 500 ล้านบาท และมีแผนจะใช้งบเพื่อทำการตลาดอีกประมาณ 300 ล้านบาท โดยบริษัทจะพยายามเพิ่มสาขาใหม่ประมาณปีละ 2 สาขา เนื่องจากมองว่ายังมีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 40% ของผลกำไร
“หากเมื่อใดสถานการณ์ทางการเมืองสงบ และปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเริ่มคลี่คลาย รวมถึงไม่มีปัญหาอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นที่ส่งผลสถานการณ์แย่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็คาดว่ายอดขายก็น่าที่จะสามารถเติบโตมากกว่า 11% ทั้งนี้ จากปัญหากล่าว จึ่งทำให้บริษัทจำเป็นต้องวางแผนแบบปีต่อปี และมีการทบทวนแผนทุก 3 เดือน หรืออาจจะมีการทบทวนแผนทุกๆ เดือน ซึ่งอยู่กับสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้น ” นายปรีชา กล่าว
ส่วนกรณีที่บริษัทมีแผนจะจัดทำโครงการรับซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมไว้ก่อน โดยปัจจุบันราคาหุ้นบนกระดานมีการซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 7 บาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นคืน ยกเว้นแต่ในกรณีที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการบริหาร บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) หรือ ROBINS เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4/2551 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ลดลงจากไตรมาส 3/2551 ประมาณ 2-3% แต่ทั้งปียอดรายได้ยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 11% แม้บริษัทจะต้องเผชิญกับปัญหาภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้มีการใช้จ่ายลดลง
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับรูปแบบของห้างสรรพสินโรบินสัน ด้วยการดึงแบรนด์ของสินค้าชั้นนำต่างๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตัวห้างสรรพสินค้า ตลอดจนได้สร้างแบรนด์ของตัวเอง เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ขณะเดียวกันยังได้มีการปรับแผนการตลาดของห้างสรรพสินค้าแต่ละสาขาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าในแต่ละพื้นที่
สำหรับปี 2552 บริษัทมีแผนจะเปิดสาขาใหม่อีก 2 สาขา มูลค่าการลงทุนประมาณ 1.5 พันล้านบาท คือ สาขาที่จังหวัดชลบุรี ที่มีกำหนดจะเปิดประมาณช่วงกลางปี และสาขาที่จังหวัดขอนแก่น กำหนดเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 52 ส่วนการตั้งเป้ารายได้คงต้องรอดูทิศทางสภาพเศรษฐกิจก่อน ถ้าหากจีดีพีโตได้ถึง 4% ยอดขายปีหน้าคาดว่าจะโตได้ถึง 5-7%
ขณะที่ความคืบหน้าโครงการก่อสร้างสาขาอุบลราชธานีนั้น คงต้องเลื่อนกำหนดเปิดให้บริการออกไป โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปีหน้า ซึ่งมีสาเหตุเจ้าของธุรกิจที่ไปเช่าพื้นที่ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้การก่อสร้างล่าช้า ส่วนสาขาบางแค ที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหมเมื่อหลายเดือนก่อน และมีแนวโน้มจะปิดตัวลง ตอนนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ภายในสาขา ซึ่งปัจจุบันสามารถเปิดใช้งานได้เพียงบางส่วน และมีสัญญาเช่าระยะยาวอยู่อีก 16 ปี โดยสาขาดังกล่าวมีรายได้ต่ำกว่า 1% ของรายได้รวม จึงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ มีกระแสเงินสดประมาณ 500 ล้านบาท และมีแผนจะใช้งบเพื่อทำการตลาดอีกประมาณ 300 ล้านบาท โดยบริษัทจะพยายามเพิ่มสาขาใหม่ประมาณปีละ 2 สาขา เนื่องจากมองว่ายังมีศักยภาพในการเติบโต ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 40% ของผลกำไร
“หากเมื่อใดสถานการณ์ทางการเมืองสงบ และปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเริ่มคลี่คลาย รวมถึงไม่มีปัญหาอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นที่ส่งผลสถานการณ์แย่กว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็คาดว่ายอดขายก็น่าที่จะสามารถเติบโตมากกว่า 11% ทั้งนี้ จากปัญหากล่าว จึ่งทำให้บริษัทจำเป็นต้องวางแผนแบบปีต่อปี และมีการทบทวนแผนทุก 3 เดือน หรืออาจจะมีการทบทวนแผนทุกๆ เดือน ซึ่งอยู่กับสภาพการณ์ในช่วงเวลานั้น ” นายปรีชา กล่าว
ส่วนกรณีที่บริษัทมีแผนจะจัดทำโครงการรับซื้อหุ้นคืนเพื่อการบริหารทางการเงิน เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมไว้ก่อน โดยปัจจุบันราคาหุ้นบนกระดานมีการซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 7 บาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อหุ้นคืน ยกเว้นแต่ในกรณีที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี