xs
xsm
sm
md
lg

กู้จีนสร้างรถไฟฟ้าดอกเบี้ย3% ธปท.หวั่นกระทบสภาพคล่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลังเตรียมเจรจาเงินกู้จีน วางกรอบใช้เงิน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดดอก 3% แต่ต้องใช้วัถุดิบจีน 50% สบน.คาดอาจไม่ได้เทคโนโลยีสมัยใหม่นัก ต้องใช้ในโครงการทั่วไป ธปท.ระบุหาเงินลงทุนเมกะโปรเจกต์รัฐบาลอาจส่งผลกระทบแหล่งเงินทุนของตลาดภาคเอกชน และทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้น หากรัฐเอกชนกู้พร้อมกัน ส่งผลให้สภาพคล่องในระบบอาจไม่สามารถรองรับแหล่งเงินกู้ได้

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงการคลังเตรียมกู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าของประเทศจีนวงเงิน 400 ล้านเหรียญสหรัฐว่า หลังจากที่จีนพร้อมที่จะให้ไทยกู้เงินดังกล่าว เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานนั้น ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว โดยเบื้องต้นจีนจะคิดดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ต่อปี นาน 15 ปี และมีเงื่อนไขสำหรับโครงการก่อสร้างที่ใช้เงินกู้ต้องซื้อวัตถุดิบจากจีน 50% ของโครงการก่อสร้าง ซึ่งอาจทำให้การใช้เงินกู้จากจีนครั้งนี้อาจไทยอาจไม่ได้เทคโนโลยีสมัยใหม่นัก เช่น รถไฟฟ้า แต่อาจเป็นการก่อสร้างทั่วไป เช่น ระบบรถไฟรางคู่ รถไฟเส้นทางที่วิ่งให้บริการประชาชนทั่วไป

พร้อมกันนี้ สบน.ได้เจรจากับธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) และธนาคารโลก เพื่อกู้เงินมาเสริมสภาพคล่องในการใช้ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ(SAL) วงเงิน 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาใช้เสริมกับงบกลางปีที่เพิ่มขึ้นอีก 100,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้เงินกู้ดังกล่าวมาในช่วงเดือนมี.ค. 52 ที่จะถึง และอาจนำไปใช้ในโครงการก่อสร้างรางรถไฟ รถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อน (แบริ่ง-สมุทรปราการ) และสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่)

สำหรับการระดมทุน 100,000 ล้านบาทนั้น ได้ตกลงกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้วว่าให้หยุดดึงสภาพคล่องจากตลาดในช่วงนี้ และถือว่าสภาพคล่องยังมีอยู่ รวมทั้งอยู่ในสภาพที่ควรระดมทุน และงบกลางปีสามารถกู้เงินได้เฉพาะตลาดในประเทศอย่างเดียว เมื่อธปท.ถอนตัวออกจากตลาดแล้วก็จะออกตั๋วเงินคลังระยะ 1,3, และ 6 เดือน เพื่ออัดฉีดเงินเข้าระบบในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณปี 52 ต่อไป

***ธปท.ห่วงสภาพคล่องในระบบหาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยบทวิเคราะห์เรื่องถอดรหัส Mage Projects หรือโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งจัดทำโดยนางสาวเรวดี รัตนานุบาล เศรษฐกรอาวุโส และนางสาว อุทุมพร จิตสุทธิภากร เศรษฐกร ทีมวิเคราะห์ทีมวิเคราะห์การคลัง ส่วนเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธปท. ว่า แผนการลงในโครงการ Mage Projects ซึ่งมีเงินทุนจากแหล่งต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อตลาด ทั้งสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ย และต้นทุนการระดมทุน หากภาครัฐและเอกชนต้องการกู้เงินในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน โดยสภาพคล่องที่มีอยู่ในระบบอาจไม่สามารถรองรับการกู้ได้ทั้งหมด

ในขณะเดียวกันความต้องการกู้เงินดังกล่าวก็จะส่งผลให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น ดังนั้นภาครัฐจำเป็นต้องวางแผนการกู้ในประเทศให้เหมาะสมกับตลาด เพื่อหลีกเลี่ยงหรือบรรเทาปัญหา Crowding out effect ต่อภาคเอกชน ในกรณีเงินกู้จากต่างประเทศ สิ่งที่จะต้องพิจารณาคือ การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งภาครัฐสามารถป้องกันความเสี่ยงจาการกู้เงินตราต่างประเทศได้ผ่านการทำซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าไว้

***หวั่นปัจจัยเสี่ยงกระทบโครงการ

นอกจากนี้โครงการหลายโครงการจะมีการนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องจักรเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบัญชีเดินสะพัด ซึ่งโดยรวมแล้วจะมีการนำเข้าในสัดส่วน 35% ของวงเงินรวมของโครงการลงทุนฯ โดยจะมีการนำเข้ามากในช่วงปี 2554-2555 ส่งผลให้ในระยะสั้นดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าการขาดดุลนี้ไม่เกิน 3% ต่อจีดีพี แต่ในระยยะยาวสต๊อกทุนที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ประเทศมีขีดความสามารถสูงขึ้น และช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน ทำให้ประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยที่หนี้สาธารณะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่รองรับได้ ตามกรอบความยั่งยืนทางด้านการคลัง

แต่อย่างไรก็ตาม ภาพการลงทุนเหล่านี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะสามารถดำเนินการตามแผน โดยเห็นว่าแหล่งเงินทุนไม่ใช่ปัจจัยหลักในการทำโครงการ ให้ดำเนินการได้ตามแผน แต่ยังคงมีความเสี่ยงที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการที่สำคัญ คือ 1.ความไม่แน่นอนทางการเมือง อาจนำไปสู่ความไม่ชัดเจนและความต่อเนื่องของนโยบายรัฐและการขับเคลื่อนการลงทุนต่างๆ และ 2.ความไม่ชัดเจนของโครงการหลายๆโครงการที่ได้รับรวมเป็น Mage Projects ยังไม่มีแปลนงานรายละเอียดโครงการที่ชัดเขน ไม่มีผลการวิเคราะห์โครงการ หรือรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่ผ่านการพิจารณา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้โครงการไม่มีความพร้อมที่จะเริ่มโครงการได้ ซึ่งที่ผ่านมาถือเป็นอุปสรรคต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลงทุนภาครัฐ
กำลังโหลดความคิดเห็น