คอลัมน์ : รอบรู้ตลาดทุน โดย...มนตรี ศรไพศาล(montree4life@yahoo.com)
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแห่งประชาธิปไตย เราดูแล้วเห็นถึงความเชื่อของเขาว่า ผู้นำอเมริกา เป็นผู้เข้ามารับอำนาจยิ่งใหญ่จากชาวอเมริกัน ผู้จะเข้ามาเป็นผู้นำของชาติ เป็นผู้ดูแล "คนทั้งประเทศ" เราเห็นบรรยากาศของการ "ไม่แบ่งข้างประชาชน" ผู้แข่งขันอาสามาปกครองคนทั่วประเทศ ทุกภาคส่วน แต่ละคนพร้อมถูกตรวจสอบ อย่างโปร่งใส เป็นการให้เกียรติประชาชน เคารพในสติปัญญาของประชาชน และยึดมั่นในหัวใจของประชาธิปไตยคือ "ต้องให้มีการสื่อความครบด้าน"
ไม่ใช่เป็นเกมส์อำนาจที่ พรรครีพลับลิกัน เป็นผู้อยู่ในอำนาจขณะนี้ จะควบคุมสื่อให้สื่อความด้านเดียว เอาเปรียบพรรคเดโมแครต เรากลับได้เห็นตัวแทนพรรคฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็ได้แสดงความเห็นตรวจสอบได้ชัดเจน และผู้คุมอำนาจก็ใส่ใจในการตอบทุกคำถาม ไม่มีการ "แบ่งข้างประชาชน" ไม่มีการที่จะบอกว่า "ความเห็นของคนละข้าง แต่ละข้างก็ฟังแค่ข้างของตนก็พอ" แต่เคารพสิทธิของประชาชน ที่จะได้ฟังความเห็นทุกฝ่าย จากปากของแต่ละฝ่ายเอง ถกกันทั้งเรื่อง ความคิด หลักฐาน หลักการ อุดมการณ์ ฯลฯ ก็จะช่วยสรรค์สร้างสติปัญญา และรักษาความรักสามัคคีในบ้านเมือง จึงเป็นแบบอย่างแห่ง "ประชาธิปไตยแท้" ได้อย่างน่าศรัทธาจริงๆ
การดีเบตของนักการเมือง ได้จัดถึง 3 รอบ ทุกคนได้แสดงสาระอย่างเต็มที่ จัดเทียบได้เป็นเสมือนการรบกันด้วย "สงครามลิ้น" ทำให้ประชาชนได้เห็นความคิด เห็นการตอบข้อกล่าวหาทุกข้อสงสัย ทั้งข้อสงสัยต่อการทุจริต ความเกี่ยวโยงการก่อการร้าย ความเหมาะสมในการเข้าสู่สงครามระหว่างประเทศ ความรู้ความเข้าใจที่พอเพียงในการตอบโต้การก่อการร้าย ทุกคำถามต่อทุกฝ่าย ก็เปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายได้ชี้แจง เพราะไม่มีใครคิดแต่จะเอา "ชนะกัน" แบบปกๆปิดๆเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องให้ "ความถูกต้อง" ชนะ "ความบาป" และ "ความสามารถ" ชนะ "ความอ่อนด้อย" อย่างชัดเจน ซึ่งนึกรูปแบบอื่นไม่ออกจริงๆ นอกจากการเคารพในเสรีภาพประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย โดยให้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร และความคิดเห็นแบบ "ครบด้าน" จริงๆ ไม่ใช่สื่อข้างเดียว และไปสื่อแทนฝ่ายตรงข้าม เพียงเพื่อชนะเกมส์อำนาจเท่านั้น การดีเบตจึงเป็น "สงครามลิ้น" ที่มีคุณค่าต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ดูการเมืองอเมริกันในปัจจุบัน ก็เห็นพัฒนาการ เมื่อเทียบกับภาพยนตร์ตลกเรื่อง "The Distinguished Gentleman" นำแสดงโดย เอ็ดดี้ เมอร์ฟี่ ในบทของ Thomas John Jefferson นักต้มตุ๋น หลอกหักหลังนักการเมืองคนหนึ่ง ได้เงินมาเล็กน้อย และนาฬิกาปลอมเรือนหนึ่ง เขาได้พบกับเหยื่อของเขาอีกครั้งในงานระดมทุน และได้รับฟังว่า นักการเมืองเหล่านี้ "หากิน" อย่างไร จากงานในสภาผู้แทนราษฎร และทำเนียบรัฐบาล ทำให้นักต้มตุ๋นอย่างเขารู้สึกทันทีว่า เขาอยู่ผิดธุรกิจแล้ว
และเมื่อเขาได้รับทราบว่า ส.ส. ในเขตของเขา Jeff Johnson เสียชีวิตไป ทำให้ Thomas ได้ความคิดทันทีว่า เขาไม่มีประวัติทางการเมือง ไม่มีประวัติการทำงานที่ดี แต่เขามี "ชื่อ" ที่คล้ายกับอดีต ส.ส. มาก จึงตัดสินใจสมัครรับเลือกตั้ง ด้วยจุดขายสำคัญคือ Jeff Johnson "The name you know" ซึ่งชาวบ้านก็ไม่สนใจติดตามข่าวการเมือง จึงยังสนใจเลือก Jeff Johnson กันมากมาย จนกระทั่งความนิยมตามโพลสำนักต่างๆก็ชี้ว่า มีความได้เปรียบสูงในการเลือกตั้ง จึงยังชวนให้ออกรายการสัมภาษณ์ และรายการดีเบตต่างๆ แต่ Thomas ก็หลีกเลี่ยงไม่ยอมดีเบตเลย จนได้รับเลือกตั้งในที่สุด เป็นภาพยนตร์ตลก ที่ให้แง่คิดดูถูกนักการเมืองนักต้มตุ๋นลวงโลกได้อย่างมีคุณค่าจริงๆ
และนักต้มตุ๋นพระเอกของเรื่อง ก็ยังใช้เล่ห์กล ลวงโลกต่อไป จนมีความก้าวหน้าทางการเมืองอย่างรวดเร็ว และมีวิธีคิดเล่ห์กลการโกงหลายครั้ง แต่แล้วก็ถึงวันที่เขาได้คิดสำนึกว่า เขาโกงไป เขาได้อำนาจ ได้เงินมากขึ้น แต่แล้วก็ไม่ได้อะไรที่มีคุณค่าต่อจิตใจ และจิตวิญญาณ จิตใจไม่มีความสุขและจิตวิญญาณขาดสันติสุข เขาจึงเริ่มคิดถึงประชาชนอย่างแท้จริง และเริ่มทำหน้าที่ตัวแทนประชาชน ด้วยใจรักประชาชนอย่างแท้จริง
สงครามลิ้น ไม่ได้มีเฉพาะในการเมืองตะวันตก ผมเพิ่งได้ชมภาพยนตร์เรื่อง สามก๊ก ตอน "ทัพเรือโจโฉแตก" ซึ่งโจโฉ ผู้ตั้งตนเป็นสมุหนายก ข่มเหงฮ่องเต้ ปกครองผู้คนด้วยความโหดเหี้ยม ใครตามเราอยู่ ใครขวางเราตาย อำนาจขยายออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว ซึ่งต่อมาเป็นกลุ่มวุยก๊ก ย่างทัพอย่างรวดเร็วจำนวนหลายหมื่น ติดตามขยี้กองทัพของ แคว้นจ๊กก๊ก ของพระเจ้าอาเล่าปี่ ซึ่งเป็นผู้นำที่ทรงคุณธรรม แต่มิได้เรืองอำนาจ เพราะท่านใจอ่อน ห่วงใยดูแลราษฏรแม้จะทำให้พระองค์และครอบครัวมีอันตราย ขงเบ้งปราชญ์คุณธรรม ผู้เป็นกุนซือของเล่าปี่ จำนนและยอมรับนับถือในคุณธรรมสูงส่งของเล่าปี่ จึงได้ทุ่มเทรับใช้ ได้อาสาใช้ลิ้นสามนิ้วเกลี้ยกล่อมง่อก๊ก ของซุนกวน เพื่อให้ร่วมมือกับจ๊กก๊ก ต้านภัยทรราชย์โจโฉ
ขงเบ้งได้เข้าพบซุนกวนเจ้าแห่งง่อก๊ก ให้เห็นภัยของโจโฉผู้บ้าอำนาจ ที่เป้าหมายไม่ใช่เพียงจ๊กก๊กของเล่าปี่เท่านั้น แต่หลังจากนั้น ก็จะเลยมากวาดล้างง่อก๊กของซุนกวนด้วย บรรดาราชครูที่ปรึกษาต่างก็เกรงกลัว ไม่อยากให้ออกรบ ขอให้รักษาความสงบ "ยอมจำนน" ต่ออำนาจยิ่งใหญ่ของโจโฉดีกว่า
ขงเบ้งจึงตอบว่า "จำนนต่ออำนาจยิ่งใหญ่ก็ดี เราก็จะรักษาตำแหน่งได้ รักษาชีวิตได้ และถ้าโชคดี โจโฉก็ยังอาจแต่งตั้งให้ครอบครองแคว้นฝั่งใต้นี้ได้" ซุนกวนจึงตั้งคำถามว่า "แล้วเหตุใด พระเจ้าอาเล่าปี่ จึงไม่ยินยอมจำนน"
จูกัดเหลียง (ขงเบ้ง) จึงตอบว่า "ขงจื๊อคือความยุติธรรม เม่งจื๊อคือความถูกต้อง จริงที่ไม่ยอมจำนนไม่ใช่การไม่ยอมแพ้ แต่ที่ไม่ยอมจำนน ก็เพราะคุณธรรม โจโฉตั้งตัวเป็นสมุหนายก คุมฮ่องเต้ฮั่น การจำนนต่อโจโฉ เท่ากับให้ท้ายทรราชย์ ท่านอ๋องเล่าปี่รู้สึกว่า การยอมจำนนต่ออำนาจทรราชย์นี้ น่าละอายเกินกว่าที่จะยอมรับได้ จึงไม่ยอม"
ซุนกวนถามว่า "ท่านเห็นว่าข้าอ่อนแอกว่าเล่าปี่หรือ?" ขงเบ้งจึงตอบว่า "ท่านอ๋องปรีชากว่าแว่นแคว้นใด เทียบได้กับอ๋องพระเจ้าอาเล่าปี่อีกด้วย" แล้วในที่สุด ง่อก๊กก็ให้ความสำคัญกับคุณธรรม ไม่ยอมสยบต่ออำนาจทรราชย์ จึงได้ร่วมแรงร่วมใจ ต้านภัยโจโฉ และภาพยนตร์ก็เดินเรื่องไปอย่างตระการตา และจบลงด้วยภาพกองทัพอันยิ่งใหญ่สำหรับการ "ติดตามตอนต่อไป"
สงครามลิ้น สามารถสะท้อนสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความสัตย์ซื่อ ความสุจริตใจได้มาก และการดีเบตที่อเมริกาในขณะนี้ มีส่วนในการชี้ทิศทางบ้านเมืองในอนาคต และอาจชี้ทิศทางโลกด้วย ฉบับหน้า ผมจะได้ลงรายละเอียดของการดีเบต ที่ด้านโอบาม่ากล่าวเปรียบเทียบว่า "วิกฤตการณ์ครั้งนี้ จะหนักที่สุดนับจากช่วง Great Depression ในปี 1930 ทีเดียว" นั่นคืออาการอาจจะหนักกว่าช่วง เศรษฐกิจถดถอย 198x, วิกฤตการณ์การณ์อ่าวเปอร์เซีย, วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย วิกฤตเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 และระเบิดที่อังกฤษ ฯลฯ ทำให้น่าคิดว่า ได้เวลาของการเปลี่ยนแปลงแล้ว ชาวอเมริกันควรจะหลุดพ้นจากรัฐบาลรีพลับลิกันที่มัวแต่เป่าลูกโป่ง และบริหารบ้านเมืองโดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยงของบ้านเมืองเพียงพออีกต่อไป เชื่อว่า มีสาระที่น่าสนใจและน่าติดตามทีเดียว และ "โปรดติดตามตอนต่อไป" เช่นกันครับ