ZMICO เจอวิกฤตการเงินสหรัฐฯ เล่นงาน ส่งผลให้มีหนี้เพิ่มจากลูกค้าที่ถูกบังคับขาย 120 ล้านบาท พร้อมลงนามให้ลูกหนี้ผ่อนชำระหนี้จำนวน 251 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 2 ปี ขณะที่ผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ขาดทุน109% เหตุรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทย่อยและร่วม รวมทั้งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง และบอร์ดอนุมัติให้พัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์ร่วมกับแบงก์กรุงไทย ผ่านโครงสร้างของ บล.เคทีบี
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) (ZMICO) เปิดเผยว่า เดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้ ประเทศในภูมิภาคต่างประสบปัญหาวิกฤตทางการเงินจากผลกระทบของวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบทำให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ทำให้ต้องนำหลักประกันมาวางเพิ่มเติม หรือถูกบังคับขายและ (ฟอร์ตเซล) เหตุการณ์ดังกล่าวมีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
โดย ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2551 บริษัทฯ อยู่ระหว่างการติดตามชำระหนี้ 120 ล้านบาทจากลูกค้า หลังจากการบังคับขายหลักประกันไปแล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการจัดทำบันทึกข้อตกลงเพื่อรับชำระเงินจากลูกค้าบางรายที่มีหลักประกันไม่คุ้มมูลค่าหนี้ โดยลูกค้าจะผ่อนชำระเป็นระยะเวลา 2 ปี คิดเป็นมูลค่า 251 ล้านบาท ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่องบการเงินของบริษัทฯ ในอนาคต
โดยวานนี้ ZMICO แจ้งงบการเงินไตรมาส 3 ปีนี้ ว่าบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 4.27 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 49.84 ล้านบาท หรือขาดทุน 108.57% เนื่องจากบริษัทต้องรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทย่อยและบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย 6 ล้านบาทและ 5 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนไตรมาสที่สามปี 2550 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทย่อย 6 ล้านบาทเพียงแห่งเดียว
เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงจาก 215 ล้านบาท เป็น 99 ล้านบาท จากปริมาณการซื้อขายที่ลดลงอันเป็นผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงเพียง 22 % เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ซึ่งลดลงถึง 45% ส่วนรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านบาท เป็น 19 ล้านบาท หรือ 91% จากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 3.1 % เป็น 5.8 %
ทั้งนี้ บริษัทฯสามารถขยายปริมาณธุรกรรมการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้เพิ่มขึ้น 109 % จากงวดเดียวกันในปีก่อน เทียบกับปริมาณการซื้อขายโดยรวมในตลาดอนุพันธ์ ที่เพิ่มขึ้นเพียง 14 % ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 6 ล้านบาท เนื่องจากความบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซา ทำให้ลูกค้าบางส่วนเลื่อนการใช้บริการออกไป ส่วนผลตอบแทนการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน และรายได้ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เพื่อซื้อหลักทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานลดลง 23 ล้านบาท คิดเป็น 20 % จากค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดซึ่งผันแปรตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง
สำหรับความคืบหน้า หลังจากที่บริษัท เข้าซื้อหุ้นใน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด นั้น บอร์ดอนุมัติในหลักการให้บริษัทฯ พัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยผ่านโครงสร้างของ บล. เคทีบี ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย ได้แสดงความจำนงในการรับโอนทรัพย์สินเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว พร้อมทั้งร่วมหารือเพื่อหาข้อสรุปในรายละเอียด ซึ่งหลังจากบริษัทฯ มีข้อมูลในรายละเอียดครบถ้วนแล้ว จะกำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติรายการต่อไป
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) (ZMICO) เปิดเผยว่า เดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้ ประเทศในภูมิภาคต่างประสบปัญหาวิกฤตทางการเงินจากผลกระทบของวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบทำให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ทำให้ต้องนำหลักประกันมาวางเพิ่มเติม หรือถูกบังคับขายและ (ฟอร์ตเซล) เหตุการณ์ดังกล่าวมีผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
โดย ณ วันที่ 28 ตุลาคม 2551 บริษัทฯ อยู่ระหว่างการติดตามชำระหนี้ 120 ล้านบาทจากลูกค้า หลังจากการบังคับขายหลักประกันไปแล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการจัดทำบันทึกข้อตกลงเพื่อรับชำระเงินจากลูกค้าบางรายที่มีหลักประกันไม่คุ้มมูลค่าหนี้ โดยลูกค้าจะผ่อนชำระเป็นระยะเวลา 2 ปี คิดเป็นมูลค่า 251 ล้านบาท ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่องบการเงินของบริษัทฯ ในอนาคต
โดยวานนี้ ZMICO แจ้งงบการเงินไตรมาส 3 ปีนี้ ว่าบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 4.27 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 49.84 ล้านบาท หรือขาดทุน 108.57% เนื่องจากบริษัทต้องรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทย่อยและบริษัทร่วมตามวิธีส่วนได้เสีย 6 ล้านบาทและ 5 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนไตรมาสที่สามปี 2550 บริษัทรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัทย่อย 6 ล้านบาทเพียงแห่งเดียว
เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงจาก 215 ล้านบาท เป็น 99 ล้านบาท จากปริมาณการซื้อขายที่ลดลงอันเป็นผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงเพียง 22 % เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ซึ่งลดลงถึง 45% ส่วนรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านบาท เป็น 19 ล้านบาท หรือ 91% จากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 3.1 % เป็น 5.8 %
ทั้งนี้ บริษัทฯสามารถขยายปริมาณธุรกรรมการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้เพิ่มขึ้น 109 % จากงวดเดียวกันในปีก่อน เทียบกับปริมาณการซื้อขายโดยรวมในตลาดอนุพันธ์ ที่เพิ่มขึ้นเพียง 14 % ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 6 ล้านบาท เนื่องจากความบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซา ทำให้ลูกค้าบางส่วนเลื่อนการใช้บริการออกไป ส่วนผลตอบแทนการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทฯเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน และรายได้ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เพื่อซื้อหลักทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานลดลง 23 ล้านบาท คิดเป็น 20 % จากค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดซึ่งผันแปรตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง
สำหรับความคืบหน้า หลังจากที่บริษัท เข้าซื้อหุ้นใน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด นั้น บอร์ดอนุมัติในหลักการให้บริษัทฯ พัฒนาธุรกิจหลักทรัพย์ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยผ่านโครงสร้างของ บล. เคทีบี ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย ได้แสดงความจำนงในการรับโอนทรัพย์สินเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ดังกล่าว พร้อมทั้งร่วมหารือเพื่อหาข้อสรุปในรายละเอียด ซึ่งหลังจากบริษัทฯ มีข้อมูลในรายละเอียดครบถ้วนแล้ว จะกำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติรายการต่อไป