แบงก์กสิกรไทยฮึดสู้ชิงลูกค้าบัตรเครดิต งัดกลยุทธ์ลดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำบัตรแพลทินัมจาก 1 แสนบาทต่อเดือน เหลือ 7 หมื่นบาทต่อเดือน หวังขยายสัดส่วนบัตรแพลทินัมจาก10% เป็น 25% ของฐานบัตรรวม พร้อมออกแคมเปญปลายปีดันยอดใช้จ่ายรวมแตะ 8-9 หมื่นล้าน
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ธนาคารได้ทำการปรับเกณฑ์รายได้ต่อเดือนสำหรับผู้ที่จะสมัครบัตรเครดิตแพลทินัมลงจาก 100,000 บาท ลงมาอยู่ที่ 70,000 บาท เนื่องจากเกณฑ์เดิมที่กำหนดไว้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยสาเหตุที่ปรับลดลงเนื่องจากต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าของลูกค้าในระดับรายได้ดังกล่าวซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ
ทั้งนี้ นอกจากเกณฑ์รายได้ใหม่ดังกล่าวแล้ว ในช่วงปลายปีธนาคารยังได้ทำการออกแคมเปญใหม่สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตแพลทินัมกสิกรไทย และบัตรเครดิตวีซ่า แพลทินัมซิกเนเจอร์กสิกรไทย "บัตรเดียวที่ต้องติดตัว" โดยลูกค้าที่มีรายการใช้จ่ายตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 ธ.ค. 2552 จะได้รับสิทธิพิเศษ ได้แก่ 1:1 บินฟรีง่ายขึ้น และเร็วขึ้น โดยคะแนนสะสม 1 คะแนน สามารถแลกเป็น รอยัล ออร์คิดพลัส ไมล์ ของการบินไทยได้ 1 ไมล์ หรือ 1,500 คะแนน แลกเป็น บางกอกแอร์เวย์ส ฟลายเออร์โบนัสได้ 20 คะแนน x2 ช้อปคุ้ม ด้วยคะแนนสะสม 2 เท่าเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดห้างสรรพสินค้า และ x3 รับคะแนนสะสม 3 เท่า เมื่อแบ่งจ่ายรายเดือนผ่านรายการ KBank Smart Pay ทุกร้านค้าทั่วประเทศ
นอกจากนั้นแล้ว ผู้ถือบัตรยังจะได้รับอภิสิทธิ์ต่อที่สอง โดยทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแพลทินัมกสิกรไทยทุก 500,000 บาทตั้งแต่ 1 พ.ย.51 – 31ธ.ค.52 จะได้รับโบนัสเป็นคะแนนพิเศษเพิ่มอีก 10,000 คะแนน ทั้งนี้ รวมถึงคะแนนสะสมที่ไม่มีวันหมดอายุด้วย
โดยแคมเปญดังกล่าวธนาคารตั้งเป้าหมายจนถึงสิ้นปีหน้าว่าจะมีลูกค้าใหม่ประมาณ 130,000 ราย และเชื่อว่าจะมียอดบัตรใหม่เพิ่มขึ้น 500,000 ราย และจะมียอดการใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 80,000-90,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท ส่วนยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบัตรต่อเดือนจะอยู่ที่ 15,000 บาท จากปกติยอดการใช้จ่ายของลูกค้าบัตรแพลทินัมอยู่ที่ 30,000 บาท ซึ่งสาเหตุที่ลดลงนั้นเนื่องจากฐานลูกค้าจะมีจำนวนที่มากขึ้น
นางสาวขัตติยา กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีฐานบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.15 ล้านใบ เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีประมาณ 150,000 ใบ และสิ้นปีคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.17 ล้านใบ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของบัตรเครดิตในปีนี้ไม่น่าจะได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ธนาคารมีความระมัดระวังในการขยายตัว ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 2%ลดลงจากเดือนที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2.1% โดยตั้งแต่ต้นปีเอ็นพีแอลมีการปรับตัวลงมาโดยตลอด และในสิ้นปีน่าจะรักษาให้อยู่ในระดับปัจจุบัน
สำหรับสัดส่วนของฐานบัตรเครดิตของธนาคารปัจจุบันประกอบด้วย บัตรคลาสสิก 50% บัตรทอง 40% และบัตรแพลทินัม 10% และหลังจากที่ธนาคารรุกทำตลาดบัตรแพลทินัมแล้วเชื่อว่าสัดส่วนของบัตรแพลทินัมจะเพิ่มเป็น 25% บัตรทองยังอยู่ที่ 40% และที่เหลือ 35% เป็นบัตรคลาสสิก
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ธนาคารได้ทำการปรับเกณฑ์รายได้ต่อเดือนสำหรับผู้ที่จะสมัครบัตรเครดิตแพลทินัมลงจาก 100,000 บาท ลงมาอยู่ที่ 70,000 บาท เนื่องจากเกณฑ์เดิมที่กำหนดไว้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง โดยสาเหตุที่ปรับลดลงเนื่องจากต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าของลูกค้าในระดับรายได้ดังกล่าวซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ
ทั้งนี้ นอกจากเกณฑ์รายได้ใหม่ดังกล่าวแล้ว ในช่วงปลายปีธนาคารยังได้ทำการออกแคมเปญใหม่สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตแพลทินัมกสิกรไทย และบัตรเครดิตวีซ่า แพลทินัมซิกเนเจอร์กสิกรไทย "บัตรเดียวที่ต้องติดตัว" โดยลูกค้าที่มีรายการใช้จ่ายตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 ธ.ค. 2552 จะได้รับสิทธิพิเศษ ได้แก่ 1:1 บินฟรีง่ายขึ้น และเร็วขึ้น โดยคะแนนสะสม 1 คะแนน สามารถแลกเป็น รอยัล ออร์คิดพลัส ไมล์ ของการบินไทยได้ 1 ไมล์ หรือ 1,500 คะแนน แลกเป็น บางกอกแอร์เวย์ส ฟลายเออร์โบนัสได้ 20 คะแนน x2 ช้อปคุ้ม ด้วยคะแนนสะสม 2 เท่าเมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดห้างสรรพสินค้า และ x3 รับคะแนนสะสม 3 เท่า เมื่อแบ่งจ่ายรายเดือนผ่านรายการ KBank Smart Pay ทุกร้านค้าทั่วประเทศ
นอกจากนั้นแล้ว ผู้ถือบัตรยังจะได้รับอภิสิทธิ์ต่อที่สอง โดยทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตแพลทินัมกสิกรไทยทุก 500,000 บาทตั้งแต่ 1 พ.ย.51 – 31ธ.ค.52 จะได้รับโบนัสเป็นคะแนนพิเศษเพิ่มอีก 10,000 คะแนน ทั้งนี้ รวมถึงคะแนนสะสมที่ไม่มีวันหมดอายุด้วย
โดยแคมเปญดังกล่าวธนาคารตั้งเป้าหมายจนถึงสิ้นปีหน้าว่าจะมีลูกค้าใหม่ประมาณ 130,000 ราย และเชื่อว่าจะมียอดบัตรใหม่เพิ่มขึ้น 500,000 ราย และจะมียอดการใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 80,000-90,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 65,000 ล้านบาท ส่วนยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบัตรต่อเดือนจะอยู่ที่ 15,000 บาท จากปกติยอดการใช้จ่ายของลูกค้าบัตรแพลทินัมอยู่ที่ 30,000 บาท ซึ่งสาเหตุที่ลดลงนั้นเนื่องจากฐานลูกค้าจะมีจำนวนที่มากขึ้น
นางสาวขัตติยา กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีฐานบัตรเครดิตอยู่ที่ 1.15 ล้านใบ เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีประมาณ 150,000 ใบ และสิ้นปีคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.17 ล้านใบ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของบัตรเครดิตในปีนี้ไม่น่าจะได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้ธนาคารมีความระมัดระวังในการขยายตัว ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) อยู่ที่ 2%ลดลงจากเดือนที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2.1% โดยตั้งแต่ต้นปีเอ็นพีแอลมีการปรับตัวลงมาโดยตลอด และในสิ้นปีน่าจะรักษาให้อยู่ในระดับปัจจุบัน
สำหรับสัดส่วนของฐานบัตรเครดิตของธนาคารปัจจุบันประกอบด้วย บัตรคลาสสิก 50% บัตรทอง 40% และบัตรแพลทินัม 10% และหลังจากที่ธนาคารรุกทำตลาดบัตรแพลทินัมแล้วเชื่อว่าสัดส่วนของบัตรแพลทินัมจะเพิ่มเป็น 25% บัตรทองยังอยู่ที่ 40% และที่เหลือ 35% เป็นบัตรคลาสสิก