“สุชาติ ธาดาดำรงเวช” ฟุ้งพร้อมทำงานตำแหน่ง รมว.คลัง เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมานาน ประกาศสานต่อนโยบายหมอเลี้ยบ ประชานิยม กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้คนจน ติงภาคเอกชนให้ดูผลงานก่อนวิจารณ์ หากไม่ดีจริงพร้อมลาออกจากตำแหน่ง ลั่นยังไม่เลิก 6 มาตรการ 6 เดือน พยุงค่าครองชีพประชาชน ระบุค่าเงินบาทเหมาะสมที่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง เปิดเผยช่วงเช้าวานนี้ (24 ก.ย.) ว่า ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง จริงและก็ได้ตอบรับตำแหน่งดังกล่าวไปแล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าตนเองมีความพร้อมรับใช้ประเทศชาติ ขณะนี้ตนมีอายุ 50 ปี และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ โดยเป้าหมายในการรับตำแหน่งครั้งนี้อยู่ที่ประชาชนรากหญ้า จะต้องทำให้คนจนมีฐานะดีขึ้น รวยขึ้น ขายของได้ดีขึ้นเพื่อส่งลูกหลานให้มีการศึกษาเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศต่อไป
“ผมไม่ได้ทะเยอทะยานไม่เคยวิ่งเต้นเพื่อรับตำแหน่ง แต่ผมพร้อมรับตำแหน่งเพราะผมทำงานด้านเศรษฐกิจมานาน มีความเข้าใจ" นายสุชาติกล่าวและว่า การทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจมีปัญหานั้น ยืนยันว่าจะให้อิสระ ธปท.ทำงานเต็มที่ ส่วนที่ผ่านมาแม้จะมีความคิดแตกต่างบ้าง แต่โดยส่วนตัวเขากับนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. คุยกันดี ส่วนนางอัจนา ไวความดีและนายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธปท.ก็เป็นเพื่อนกัน และมีการประสานกันมาตลอด เชื่อจะไม่มีปัญหาการทำงาน
"ผมมั่นใจว่าจะสามารถทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ ทั้งแบงก์ชาติ และหน่วยงานอื่นๆ เพราะไม่ได้มีปัญหากับผู้ว่าฯ ธปท. ส่วนเรื่องที่เคยผ่านมานั้น ผมได้ลืมไปหมดแล้ว และไม่ได้เก็บมาคิด" นายสุชาติกล่าว
สำหรับงานในหน้าที่ รมว.คลัง นายสุชาติ กล่าวว่า การบริหารเศรษฐกิจจากนี้ไปรัฐบาลจะต้องรักษาสภาพคล่องภายใต้อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินบาทที่เหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์นั้นเหมาะสมแล้ว นอกจากนี้ไม่ปิดกั้นการลงทุนจากต่างประเทศเนื่องจากประเทศไทยยังต้องการเงินทุน ทรัพย์สินและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และจะสานต่อนโยบายของ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.คลัง โดยจะไม่ทบทวน 6 มาตรการ 6 เดือนเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน
ส่วนที่ภาคเอกชนออกมาแสดงท่าทีไม่ยอมรับต่อทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลสมชาย1 นั้น อยากให้ดูที่ผลงานก่อนซึ่งหากภายหลังภาคเอกชนผิดหวังจริงก็พร้อมถอยและพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ต้องขึ้นกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะคนระดับรากหญ้าด้วย เพราะเขาจะเข้าไปดูแลคนกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิดทั้งเรื่องกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล ซึ่งต้องถามเขาว่ายังต้องการอีกหรือไม่
นายสุชาติกล่าวต่อว่า กรณีที่มีข่าวว่าบริษัทประกันเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องจนรัฐบาลต้องอัดฉีดเงินเข้าช่วยเหลือว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นแผนที่กระทรวงการคลังได้เตรียมการรับมือกับผลกระทบสภาพคล่องในระบบที่อาจตึงตัวจากวิกฤตปัญหาการเงินในสหรัฐฯ ยอมรับว่าได้มอบหมายให้ ธปท.เรียกธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ดูแลสภาพคล่องในตลาดเงินให้เพียงพอ เนื่องจากปัญหาการเงินในสหรัฐฯ อาจลุกลามออกไป แต่ยืนยันว่าในส่วนของบริษัทประกันหรือสถาบันการเงินของไทย ยังไม่เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องแต่อย่างใด
"กรณีที่มีข่าวบริษัทประกันภัยล้มนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งผมอาจให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน และขอรับผิดในการให้ข่าวที่ทำให้เกิดความสับสนและเกิดความเสียหายกับบริษัทประกัน ส่วนการเสริมสภาพคล่องนั้น ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติจะต้องดูแลอยู่แล้ว" นายสุชาติกล่าวและยืนยันว่าบริษัทประกันไม่มีอะไรน่ากังวล เนื่องจาก มีเงินทุนสำรองสูงกว่าข้อกำหนด 10 เท่าจึงไม่น่าเป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม ธปท. และธนาคารพาณิชย์ ได้มีการเสริมสภาพคล่องไว้อยู่แล้ว ซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนนั้น การดูแลเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการทำงานของคลังและแบงก์ชาติ จะต้องไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ นั้นมองว่าจะไม่มีผลกระทบถึงประเทศไทยอย่างแน่นอน
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง เปิดเผยช่วงเช้าวานนี้ (24 ก.ย.) ว่า ได้รับการทาบทามให้ดำรงตำแหน่ง รมว.คลัง จริงและก็ได้ตอบรับตำแหน่งดังกล่าวไปแล้ว เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าตนเองมีความพร้อมรับใช้ประเทศชาติ ขณะนี้ตนมีอายุ 50 ปี และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ โดยเป้าหมายในการรับตำแหน่งครั้งนี้อยู่ที่ประชาชนรากหญ้า จะต้องทำให้คนจนมีฐานะดีขึ้น รวยขึ้น ขายของได้ดีขึ้นเพื่อส่งลูกหลานให้มีการศึกษาเพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศต่อไป
“ผมไม่ได้ทะเยอทะยานไม่เคยวิ่งเต้นเพื่อรับตำแหน่ง แต่ผมพร้อมรับตำแหน่งเพราะผมทำงานด้านเศรษฐกิจมานาน มีความเข้าใจ" นายสุชาติกล่าวและว่า การทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจมีปัญหานั้น ยืนยันว่าจะให้อิสระ ธปท.ทำงานเต็มที่ ส่วนที่ผ่านมาแม้จะมีความคิดแตกต่างบ้าง แต่โดยส่วนตัวเขากับนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. คุยกันดี ส่วนนางอัจนา ไวความดีและนายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธปท.ก็เป็นเพื่อนกัน และมีการประสานกันมาตลอด เชื่อจะไม่มีปัญหาการทำงาน
"ผมมั่นใจว่าจะสามารถทำงานร่วมกับทุกฝ่ายได้ ทั้งแบงก์ชาติ และหน่วยงานอื่นๆ เพราะไม่ได้มีปัญหากับผู้ว่าฯ ธปท. ส่วนเรื่องที่เคยผ่านมานั้น ผมได้ลืมไปหมดแล้ว และไม่ได้เก็บมาคิด" นายสุชาติกล่าว
สำหรับงานในหน้าที่ รมว.คลัง นายสุชาติ กล่าวว่า การบริหารเศรษฐกิจจากนี้ไปรัฐบาลจะต้องรักษาสภาพคล่องภายใต้อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินบาทที่เหมาะสม ซึ่งในปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์นั้นเหมาะสมแล้ว นอกจากนี้ไม่ปิดกั้นการลงทุนจากต่างประเทศเนื่องจากประเทศไทยยังต้องการเงินทุน ทรัพย์สินและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และจะสานต่อนโยบายของ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.คลัง โดยจะไม่ทบทวน 6 มาตรการ 6 เดือนเพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน
ส่วนที่ภาคเอกชนออกมาแสดงท่าทีไม่ยอมรับต่อทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลสมชาย1 นั้น อยากให้ดูที่ผลงานก่อนซึ่งหากภายหลังภาคเอกชนผิดหวังจริงก็พร้อมถอยและพร้อมที่จะลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้ ต้องขึ้นกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศโดยเฉพาะคนระดับรากหญ้าด้วย เพราะเขาจะเข้าไปดูแลคนกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิดทั้งเรื่องกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล ซึ่งต้องถามเขาว่ายังต้องการอีกหรือไม่
นายสุชาติกล่าวต่อว่า กรณีที่มีข่าวว่าบริษัทประกันเกิดปัญหาขาดสภาพคล่องจนรัฐบาลต้องอัดฉีดเงินเข้าช่วยเหลือว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นแผนที่กระทรวงการคลังได้เตรียมการรับมือกับผลกระทบสภาพคล่องในระบบที่อาจตึงตัวจากวิกฤตปัญหาการเงินในสหรัฐฯ ยอมรับว่าได้มอบหมายให้ ธปท.เรียกธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ดูแลสภาพคล่องในตลาดเงินให้เพียงพอ เนื่องจากปัญหาการเงินในสหรัฐฯ อาจลุกลามออกไป แต่ยืนยันว่าในส่วนของบริษัทประกันหรือสถาบันการเงินของไทย ยังไม่เกิดปัญหาขาดสภาพคล่องแต่อย่างใด
"กรณีที่มีข่าวบริษัทประกันภัยล้มนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่งผมอาจให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน และขอรับผิดในการให้ข่าวที่ทำให้เกิดความสับสนและเกิดความเสียหายกับบริษัทประกัน ส่วนการเสริมสภาพคล่องนั้น ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติจะต้องดูแลอยู่แล้ว" นายสุชาติกล่าวและยืนยันว่าบริษัทประกันไม่มีอะไรน่ากังวล เนื่องจาก มีเงินทุนสำรองสูงกว่าข้อกำหนด 10 เท่าจึงไม่น่าเป็นห่วง
อย่างไรก็ตาม ธปท. และธนาคารพาณิชย์ ได้มีการเสริมสภาพคล่องไว้อยู่แล้ว ซึ่งในสภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนนั้น การดูแลเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการทำงานของคลังและแบงก์ชาติ จะต้องไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ นั้นมองว่าจะไม่มีผลกระทบถึงประเทศไทยอย่างแน่นอน