ช่วงนี้ ผมขอถอดหมวกนักธุรกิจ แต่สวมหมวกฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย อดีตนักกิจกรรม นายกสโมสรนิสิต จุฬาฯ ปี 2527 ด้วยความรักและห่วงใยในบ้านเมืองจริงๆครับผมเชื่อว่า ประโยค "ปัญหาเกิดจากการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมือง" ที่อดีตผู้นำไปให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติ แล้ววกกลับมาในประเทศไทย จะเป็นประโยคบาดใจ ที่คงต้องจารึกไว้ และตีความว่ามีความหมายอย่างไร ?
เกมส์การเมืองหลายครั้งถูกนำมาใช้ เพียงเพื่ออำนาจและประโยชน์ส่วนตัว เป็นเรื่องที่น่ากลัวและน่ากังวล ผมเชื่อว่า พระเจ้าสร้างเรามาอย่างดี ทรงหวังให้อยู่ในทางชอบธรรม จะเห็นว่า หากเราอยู่ในสังคมที่มีธรรม และเป็นธรรม ประชาชนทุกระดับก็มีความสุขใจ แต่สังคมที่อยู่ในความบาป ไม่ว่าใครถูกใครผิด หรือแม้คนที่อยู่ตรงกลาง ก็ไม่มีความสุข เพื่อความสร้างสรรค์ของบ้านเมือง ผมจึงขอเสนอว่า** เป็นเวลาที่ชาวไทยเราจะหาบทเรียนร่วมกัน และร่วมกันคิดว่า "ปัญหาเกิดจาก (บาป) การเมือง ต้องแก้ด้วย (ธรรมะ) การเมือง"**
(1)แก้การใช้ประชาธิปไตยด้วยหัวใจเผด็จการ ด้วยหัวใจประชาธิปไตยแท้ ผมเรียนมาทางวิศวฯ แม้เป็นอดีตนายกสโมสรนิสิต จุฬาฯ ก็ยังรู้สึกเสมอว่า ผมไม่ได้ถูกสร้างมาให้ทำงานการเมือง แต่ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดจากช่วงพฤษภาทมิฬจาก**การเสนอข่าวด้านเดียว เราอ้างว่าเรามีความก้าวหน้ามาทางประชาธิปไตย แต่ช่วงนี้ก็ยังเป็นอาการนั้น ทีวีช่องต่างๆ มีแต่คนฝ่ายภาครัฐแสดงความเห็น หลายครั้ง เอาประโยคบางประโยคมาพูดแทนผู้ที่เห็นแตกต่าง คดีโกงนับแสนล้าน เสนอสั้นๆ แล้วกลบเกลื่อนไป คดีประชาชนที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม เอามาขยายผลมากมาย ทำให้เสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข่าวสารถูกปล้นโดยไม่รู้ตัว** (เหมือนกิจการทุนผูกขาดนิยม) ในโลกประชาธิปไตย ผมเชื่อว่า หากมีความจริงใจ ให้ผู้มีความเห็นต่าง จึงทำให้เกิดการตรวจสอบ และอำนาจรัฐอันยิ่งใหญ่จะได้ถูกใช้อย่างชอบธรรม
ผมยังรักประชาธิปไตยและเชื่อมั่นว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เป็นระบอบที่เหมาะสมแล้วกับสังคมไทย **แต่ประชาธิปไตยต้องแท้ ให้โอกาสความเห็นต่าง ไม่ใช่ใช้อำนาจกลบเกลื่อนและเกิดความเสี่ยงที่จะทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือทำร้ายประชาชน**อย่างเช่นช่วงที่ผ่านมา
(2) **แก้การทำผิดกฎหมาย ด้วยการทำให้ถูกกฎหมาย และเคารพกฎหมาย หากยังมองว่า ปัญหาเกิดจากการเมืองและจะแก้ด้วยการเมือง ก็เป็นห่วงว่า จะเกิดการแก้เหมือนอดีตเช่น รัฐธรรมนูญห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นเกิน 5% กฏหมาย ปปช. ห้ามมีหุ้นสัมปทาน ก็โอนหุ้นให้คนใกล้ชิด แต่โอนให้ลูกมูลค่าที่แจ้ง 730 ล้านบาท แต่ทำไมลูกต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินอีก 4,500 ล้านบาทให้แม่ด้วย ? แล้วก็นำไปสู่การแก้ไขสัมปทาน แล้วบริษัทของครอบครัวอดีตผู้นำก็ได้เงินเพิ่มนับหมื่นนับแสนล้านบาท และได้เปรียบคู่แข่งอย่างไม่มีความเป็นธรรมในการแข่งขันตลอดไป** แอมเพิลริช และวินมาร์ค ก็เป็นกองทุนต่างประเทศที่ถือหุ้นในกลุ่ม เปิดเผย ปปช.ครบถ้วนหรือไม่ ? สโมสรฟุตบอลเป็นของใคร ? ทำไมทั้งคนไทยและชาวโลกก็เชื่อว่าเป็นของอดีตผู้นำ ? แล้วได้เปิดเผยต่อ ปปช. ตามรัฐธรรมนูญหรือเปล่า ? ได้มาจากสมัยกำไรค่าเงินบาท จากการขาดทุนของ ธ.ชาติหรือเปล่า ? ประเด็นเหล่านี้ ต้องมีหน่วยงานที่พ้นการครอบงำด้วยอำนาจระบอบเก่า เช่น คตส. จึงกล้าหาหลักฐานเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา
ปัญหาเช่นนี้หรือเปล่าที่เรียกว่า** "เกิดจากการเมือง" ตั๋วสัญญาใช้เงิน ปลอมหรือเปล่า หรือที่เปิดเผยออกมาแล้วมีอะไรที่เล่าให้ฟังได้ว่า คตส. กล่าวหาผิดอย่างไร ? ทำไมยังใช้คำว่า "ถึงเวลาจะชี้แจง" มีอะไรที่ทำให้ต้องรอเวลา ตอนอยู่ในอำนาจ ก็ไม่เคยให้ข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม ต้องรอให้เลยอายุความ หรือ อายุการเก็บหลักฐานความจริงหรือเปล่า แล้วจะได้ให้ข้อมูลเท็จต่อประชาชนอีกทีเหมือนเก็บหุ้นในชื่อคนรถคนใช้ พอถูกจับได้ ก็ย้ายไปในชื่อลูก คนใกล้ชิด **และกองทุนลับในต่างประเทศ ขนาดทำหลักฐานเท็จย้อนหลัง 6 ปีว่า บุตรชายได้รับโอนหุ้นแอมเพิลริชไปแล้วตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2543 ขัดกับที่บุตรชายได้ทำรายงานหลายครั้งก็ไม่เคยนับว่าเป็นของตัว และอ้างว่าที่อาจสับสนก็คงเพราะแอมเพิลริชไม่มีนิติกรรม แต่ข้อมูลที่เปิดเผยนักลงทุนก็ยังเป็นความเท็จ โดยในแบบ 56-1 จะปรากฎหุ้นในชื่อครอบครัวไม่ถึง 50% โดยแยกหุ้นของแอมเพิลริชออกไป 100 ล้านหุ้น นับเพียง 229 ล้านหุ้นเท่านั้นเป็นของครอบครัว ก็ยังไม่เลิกสร้างหลักฐานเท็จอยู่ดี
เช่นเดียวกับอดีตนายกฯซึ่งเมื่อพบปัญหาการรับค่าจ้างหรือส่วนแบ่งรายได้อันไม่เหมาะกับผู้เป็นนายกฯ ก็เลี่ยงเป็นค่าน้ำมัน ผมว่า การแก้ปัญหาความบาปเหล่านี้ **หากยังใช้การเมืองแก้ ก็มีแต่ทำให้มาตรฐานคุณธรรมความชอบธรรมตกต่ำลง และสร้างต้นทุนต่อบ้านเมืองอีกมาก เพื่อปกปิดบิดเบือนปัญหาเหล่านี้ มักจะทำให้ทุกคนเชื่อว่า "โกงเป็นเรื่องธรรมดา" ช่างต่างกับพสกนิกรชาวไทยได้เรียนรู้หลักธรรมจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระผู้ทรงเป็นที่รักเทอดทูนของเราคนไทยทุกคนว่า “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นเรื่องธรรมดา”** สถานการณ์ไม่ฉุกเฉิน ก็ประกาศว่าฉุกเฉินแล้วใส่ร้ายพันธมิตรฯ ยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร
(3)แก้ปัญหาการเมืองยืดเยื้อ ด้วยการรู้จัก "ละอาย"ต่อความบาป สิ่งดีที่สุดคือ "ไม่ควรโกงชาติ" แต่อย่างน้อย เมื่อถูกจับได้ว่าโกง ก็น่าจะไม่แก้ปัญหาด้วยการเมือง แต่ต้องแก้ด้วยหลักนิติธรรม และหลักฐาน คนไทยทุกคนรักกัน แม้คนที่ไม่เชื่อท่านแล้ว หากท่านได้เอาหลักฐานมาอธิบายว่าท่านไม่ได้ทำผิด ทุกคนเข้าใจชัดเจนก็ต้องยอมรับด้วยศรัทธา แต่หากกลบเกลื่อนไม่ตอบหลักฐานน่าสงสัยทั้งหลาย ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ดังที่ท่านได้คิดแก้ด้วยการเมืองมาเรื่อย ไม่ให้มีการอภิปรายในสภา เลือกตั้งใหม่ ใช้พรรคปลอม นักการเมืองต้องโทษก็ยังส่งภรรยา หรือญาติๆมาสวมแทน หาผู้มาเป็นนายกฯก็หาที่สะอาดและอิสระก็ไม่ได้ กลับมาโทษว่า ส่งใครมาก็ไม่รับ หากนักการเมืองมีสำนึก ทำผิดก็ถอย ไม่ใช่จะอ้างว่า ต้องแก้ไขการทำผิดบาปทางการเมือง ด้วยใช้วิธีทางการเมือง
ประชาชนไม่อยากเห็นการแก้ไขปัญหาด้วยการปฏิวัติ แต่ผู้ที่มาจากประชาธิปไตยไม่รักประชาธิปไตยจริง เอาอำนาจจากประชาธิปไตยมาเอาประโยชน์ส่วนตัว เมื่อต้องถูกแก้ไขด้วยการปฏิวัติ ประชาชนก็จำต้องยอมรับว่าเป็นทางเดียวที่จะผ่านปัญหาจากผู้โกงชาติไปได้ ประชาชนไม่อยากเห็นการยึดทำเนียบ แต่ก็ต้องอดทน เพราะเห็นความตั้งใจที่จะปกป้องความถูกต้องยุติธรรมของบ้านเมือง
ขอให้**คนไทยทุกคน รู้รักสามัคคี ไม่ยอมรับความแตกแยก เชื่อทางสว่าง ส่งเสริมความดี รักษาประชาธิปไตย สนับสนุนรัฐบาล ฯพณฯ สมชาย เพราะท่านมีศักดิ์ศรีของ "วงศ์สวัสดิ์" ท่านเป็นคนอ่อนโยน ประนีประนอม ขอให้กำลังใจท่านไม่ใช้อำนาจรัฐเพื่อปกป้องความผิด ไม่ใช้สื่อของรัฐบิดเบือนความจริง ไม่สร้างความแตกแยกให้ประชาชน และขอให้ระบอบทักษิณ เลิกแก้ปัญหา (บาป) การเมือง ด้วย บาปยิ่งขึ้นทางการเมือง แต่ให้แก้ด้วย (ธรรมะ)** การเมือง เมื่อบ้านเมืองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รักชาติ รักความถูกต้องยุติธรรม บ้านเมืองก็จะไม่เข้าสู่วิกฤต ประชาชนมีความสุขไม่ต้องอึดอัด เศรษฐกิจด็จะดีต่อไปได้ในระยะยาวครับ
มนตรี ศรไพศาล
(ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย)
montree4life@yahoo.com