xs
xsm
sm
md
lg

เอกชนตะเพิด “หอกหัก” พ้นการเมือง-ชี้คุณสมบัติ 5 ข้อผู้นำใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ส.อ.ท.-หอการค้า สวดส่ง “สมัคร” พ้นการเมือง ชี้ คุณสมบัติ 5 ข้อ ผู้นำคนใหม่ ต้องซื่อสัตย์ มีจริยธรรม เป็นผู้นำที่ดี มีความรู้ความสามารถ บริหารงานด้วยความโปร่งใส และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน พร้อมจี้รัฐบาลใหม่ ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-การแตกแยกในสังคม ระบุ การเมืองยืดเยื้อธุรกิจพังแสนล้าน หวั่นแห่ปิดกิจการ เตรียมสวดอ้อนวอนพระเจ้า เพื่อขอแนวทางทำธุรกิจ

วันนี้ (12 ก.ย.) นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเลื่อนวันเลือกนายกรัฐมนตรีของสภาผู้แทนราษฎรจากวันนี้ (12 ก.ย.) ไปเป็นวันที่ 17 ก.ย.นี้ ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะสังคมยังสับสน และจะได้มีเวลาตั้งหลัก หากรัฐบาลและพรรคร่วมยังดื้อดึง ไม่ฟังเสียงสังคม ประชาชน และภาคเศรษฐกิจ ก็จะไม่ส่งผลดี

นายสันติ กล่าวว่า จากการพูดคุยกับหลายภาคส่วน หากมีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีเป็นนายสมัคร สุนทรเวช เช่นเดิม ก็จะสร้างความสับสนและความไม่มั่นใจให้มีอยู่ต่อไป รวมทั้งไม่แน่ใจว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะมีความเห็นเป็นทิศทางใด แต่น่าจะเป็นการขยายวงของการต่อต้านออกไปอีก ซึ่งหากจะช่วยลดแรงกดดันลงไปได้บ้าง สังคมคิดว่านายกรัฐมนตรีต้องไม่ใช่คนเดิม ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลต้องพยายามหาทางออกที่ดี เพราะขณะนี้ก็ได้ทราบถึงเสียงประชาชนว่าคิดอย่างไรแล้ว

ส่วนคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีนั้น ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า ต้องเป็นคนประนีประนอม เป็นที่ยอมรับของสังคม ประการสำคัญ การเลือกคนมาเป็นคณะรัฐมนตรีจะต้องเลือกให้ดี ให้สังคมยอมรับ ซึ่งจะเป็นภาพพจน์ที่ดีของประเทศ เนื่องจากบางประเทศเริ่มชะลอการสั่งซื้อสินค้าจากไทยเพราะเกิดความไม่แน่ใจ กระทบถึงนักท่องเที่ยวด้วย

นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวถึงคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต้องสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศให้ได้ ซึ่งหอการค้าไทย และสภาหอการค้า เห็นพ้องกันว่า นายกฯ คนใหม่ควรจะมีคุณสมบัติ 5 ข้อ คือ ซื่อสัตย์ มีจริยธรรม เป็นผู้นำที่ดี มีความรู้ความสามารถ บริหารงานด้วยความโปร่งใส และต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายหรือเรื่องยาก

ส่วนสิ่งที่ต้องเร่งรีบแก้ไข ภาคเอกชนเห็นว่า รัฐบาลชุดใหม่ต้องเลิกความแตกแยกทางความคิด และยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในทันที

นายพงษ์ศักดิ์ ยอมรับว่า สิ่งที่ภาคเอกชนกังวล คือ หากสถานการณ์ยืดเยื้อจะไม่เป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในประเทศ เพราะจะทำให้ขาดความมั่นใจในการบริโภคในประเทศ กระทบการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว ซึ่งได้มีการประเมินว่าหากยืดเยื้อถึงสิ้นปี ผลกระทบจะมีมากกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมาก หากเป็นเช่นนี้ผู้ประกอบการจะต้องปิดกิจการ และนั่งไหว้เจ้าเพื่อขอพรว่า พวกเราจะดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างไร ซึ่งคงไม่มีใครอยากเห็น
กำลังโหลดความคิดเห็น