ภาคธุรกิจรุมค้าน "หอกหัก" รีเทิร์นฯ สับเละ พปช. ขาดต่อมจริยธรรม

ภาคธุรกิจรุมค้าน "สมัคร" รีเทิร์นนายกฯ เพราะขาดจริยธรรมไปแล้ว โดยผลวินิจฉัยของศาล รธน. ชี้คุณสมบัติผู้บริหารประเทศ ควรเข้ามาสร้างประโยชน์ให้สังคม ไม่ใช่สร้างความแตกแยกเพิ่ม หวั่นจุดชนวนปัญหาลุกลามจนพัฒนาเป็นสงครามกลางเมือง แนะทางออกโดยเสนอชื่อ 4-5 คน โชว์วิสัยทัศน์ต่อสาธารณะชน ชี้การยุบสภาควรเป็นทางออกสุดท้าย

(11 ก.ย.) นายเจริญ วังอนานนท์ โฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟสต้า) กล่าวว่า นายสมัคร สุนทรเวช ไม่ควรจะกลับเข้ามานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีก เพราะน่าจะขาดจริยธรรมไปแล้วจากผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และหากมีการเลือกกลับมารับตำแหน่งใหม่ก็เท่ากับว่าผู้ลงคะแนนเสียงให้นั้นไม่มีจริยธรรม เพราะผู้ที่จะเข้ามาบริหารประเทศควรเข้ามาสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ไม่ใช่สร้างความแตกแยกให้ส่วนรวมเพิ่มขึ้น จนอาจถึงขั้นสงครามกลางเมือง

สำหรับแนวทางการเลือกนายกรัฐมนตรี อยากเสนอให้นำรายชื่อผู้ที่ได้รับเสนอชื่อ 4-5 คน แสดงวิสัยทัศน์แนวทางการบริหารจัดการประเทศต่อสาธารณะชนเพื่อให้สังคมมีส่วนรับรู้ว่าใครเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียงคัดเลือก ส่วนการแก้ปัญหาด้วยการยุบสภาควรใช้เป็นวิธีสุดท้าย เพราะจะทำให้ชาติเสียโอกาสมาก และควรปล่อยให้การเมืองแก้ไขกันเองไปให้ถึงที่สุด

ด้านนายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีควรจะเป็นคนที่เข้ามาแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ และเป็นที่ยอมรับจากคนในสังคม รวมทั้งมีมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าคนทั่วไป โดยคุณสมบัติ 5 ประการ คือ ซื่อสัตย์ มีจริยธรรม มีความเป็นผู้นำที่ดี มีความรู้ความสามารถบริหารงานโปร่งใส และมีความเข้าใจเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนถูกต้องด้วยตัวเอง

นอกจากนี้ เมื่อรับตำแหน่งแล้วต้องยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทันที เพื่อระงับความเสียหายเศรษฐกิจของชาติ

นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า ผู้นำคนใหม่ต้องสามารถบริหารความแตกแยกในสังคม เพราะขณะนี้ประเทศชาติกำลังเลือดไหลไม่หยุด ต้องรีบห้ามเลือดให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก โดยปัญหาที่เกิดขึ้นมาทุกวันนี้ มาจากการเมืองที่ไม่ได้เน้นเรื่องจริยธรรม ดังนั้น ต่อไปการเลือกผู้นำประเทศจะต้องให้ความสำคัญต่อเรื่องจริยธรรมเป็นสำคัญ รวมถึงต้องมีจรรยาบรรณ มีความโปร่งใสในการบริหารงาน

“นักธุรกิจทั่วประเทศไม่ต้องการเห็นประเทศชาติอยู่ในสภาพที่บอบช้ำไปมากกว่านี้อีกแล้ว หากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ อีกไม่นานธุรกิจต่างๆ จะขาดสภาพคล่อง และอยู่ไม่ได้ในที่สุด ซึ่งจะมีผลกระทบถึงระบบธนาคารและอาจทำให้มีคนตกงาน ต่างชาติไม่กล้าเข้ามาลงทุน เศรษฐกิจของประเทศจะถึงขั้นย่อยยับ และไม่สามารถพลิกฟื้นขึ้นมาได้โดยง่าย ทั้งๆ ที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างดี"นายดุสิต กล่าวทิ้งท้าย