ผู้ประกอบการอสังหาฯมึนรัฐบาล!! ทางสว่างของการแก้ปัญหาไม่ชัด ผู้บริหาร“แอล.พี.เอ็น.” เชื่อการเมืองวุ่ยวายแบบมีอารยะธรรม ยอมรับกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ระบุการทำตลาดยุคนี้ ต้องเหนื่อยและออกแคมเปญถี่ขึ้น ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างเพอร์เฟค ลั่นหาก 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ตลาดอสังหาฯไม่กระเตื้อง เตรียมปรับเป้ายอดขายปีหน้าลงจากเดิม 10% ลดสต๊อกสินค้าบริหารความเสี่ยง ส่วนปี 51 มั่นใจยอดขายหมื่นล้านบาทได้แน่นอน นายจรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี มาเนจเม้นท์ จำกัด ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (มหาชน) หรือแอล.พี.เอ็น. เปิดเผยว่า สถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบัน ส่งผลให้ทุกคนอยู่ในภาวะของความกลัว แต่ก็เป็นความน่ากลัวแบบมีอารยะธรรม ขอบเขตกำจัดเฉพาะในเขตเมือง คนที่เข้าร่วมชุมนุมส่วนใหญ่มีความรู้ และสิ่งสำคัญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนร่วมยังแสดงออกในท่าทีของการประนีประนอม ไม่รุนแรง
ในส่วนของการดำเนินธุรกิจนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องปรับตัวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะนอกจากปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่กดดันให้ราคาสินค้าเกือบทุกประเภทปรับขึ้น ภาวะเงินเฟ้อตามมา ส่วนปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ(ซับไพรม์)ที่มีมาช้านานก็ยังไม่สิ้นสุดและส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อภาวะการเงินของโลกอีกด้วย
“เป็นธรรมดาที่ปัญหาการเมืองจะต้องกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ธุรกิจประเภทใดที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยว ตลาดทุนกระทบแน่นอน ส่วนอสังหาฯต้องมาดูแยกย่อยว่ากระทบต่อผู้บริโภคระดับไหน อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าดีใจอยู่ก็คือ อัตราการว่างงานของคนไทยไม่ได้ลดลงสะท้อนว่าการลงทุนยังดีอยู่”
สำหรับภาวะการณ์ซื้อขายอสังหาฯในปัจจุบัน ในส่วนของแอล.พี.เอ็น.นั้นผู้เข้าชมโครงการ รวมไปถึงอัตราการซื้อในแต่ละสัปดาห์ยังเป็นปกติ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าหรือเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งไม่นับสัปดาห์ที่พันธมิตรฯบุกยึดทำเนียบเป็นครั้งแรกนั้น อาจตกลงไปตามภาวะ อย่างไรก็ตาม ทางคณะผู้บริหารบริษัทฯก็ได้จับตาสถานการณ์ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
ส่วนการทำการตลาดนั้น เป็นปกติที่ช่วงไตรมาส 3-4 เป็นฤดูขายที่อยู่อาศัย ทำให้ช่วงนี้ทุกบริษัทต่างออกแคมเปญกระตุ้นยอดขายกว่ากว่าทุกช่วงของปี แต่สำหรับปีนี้อาจพิเศษมากขึ้น เพราะมีภาวะการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจทำให้ต้องมีแคมเปญที่มากกว่าและแรงกว่าปกติ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในเดือนนั้นๆด้วย ว่าควรมีแคมเปญการตลาดอะไรออกบ้าง
นายจรัญกล่าวต่อว่า สำหรับการทำการตลาดของแอล.พี.เอ็น.ในช่วงนี้จะเน้นไปที่ LPN Green ที่คำนึงถึงการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่ให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบห้องชุดในโครงการจนถึงการบริหารชุมชน ได้แก่ 1.Green Design การออกแบบโครงการโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม 2. Green Material & Equipment การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3.Green Energy การใช้พลังงานทดแทน และ 4.Green Community Management การรักษามาตรฐานการบริหารและการใช้ทรัพยากรให้คงสภาพเดิม
ล่าสุด แอล.พี.เอ็นได้เข้าร่วมในโครงการสินเชื่ออาคารประหยัดพลังงาน ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ได้รับวงเงินกู้มาจาก สำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณะรัฐฝรั่งเศส หรือ เอเอฟดี ในการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่สร้างอาคารประหยัดพลังงานตรงตามข้อกำหนดที่เอเอฟดีตั้งไว้ รวมไปถึงการให้สินเชื่อแก่ประชาชนที่ซื้อห้องชุดของโครงการดังกล่าว
" การสร้างอาคารของแอล.พี.เอ็น.เกือบจะตรงตามที่เอเอฟดีกำหนดทุกประการ ยังเว้นกระจกเขียวตัดแสงที่ต้องปรับเปลี่ยน แต่เป็นการปรับไม่มาก เพราะบางมุมของอาคารได้ออกแบบเพื่อรับลมอยู่แล้ว จะเปลี่ยนก็เป็นบางจุดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แอล.พี.เอ็น.ต้องทำต่อจากนี้ คือ การเจรจากับลูกค้าให้ใช้เครื่องปรับอากาศตรงตามสเปคที่กำหนดมา ซึ่งแพงกว่าเครื่องปรับอากาศที่ไปประมาณ 2,000-3,000 บาท"
***PFลั่นถ้าการเมืองไม่จบ
***ลดเป้ายอดขายปีหน้า10%
ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ (PF) กล่าวถึงการรับมือจากปัจจัยลบทางการเมืองตอนนี้ว่า คงต้องติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดว่าจะปรับตัวไปในทิศทางใด ซึ่งในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้น ยังไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายมากนัก แต่หลังจากนี้เชื่อว่า หากสถานการณ์ยังไม่ยุติ ผลกระทบจะเริ่มทวีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
" ขณะนี้ เพอร์เฟคฯ ได้มีการปรับแผนการก่อสร้างบ้านสั่งสร้างใหม่ โดยจะลดจำนวนการพัฒนาบ้านสั่งสร้างลง เพื่อรองรับสถานการณ์ตลาดในช่วง4เดือนที่เหลือ และหากช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ ตลาดยังกระเตื้องขึ้นมาอีก คาดว่าในปี 2552 ทางบริษัทอาจจะต้องปรับลดเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายลงจากเดิม10% ลดจำนวนก่อสร้างโครงการ เพื่อบริหารสต็อกสินค้าแทนที่จะผลิตสินค้ามากจนล้นและกลายเป็นภาระกับบริษัท รวมถึงการปรับแผนการตลาดใหม่ในปีหน้า จากเดิมที่วางเป้าจะเป็นปีแห่งการรุกและบุกตลาดให้หนักมากขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน บ่งชี้ให้เห็นสัญญาณตลาดที่น่ากังวลอยู่ สำหรับในปีนี้ ทางบริษัทมั่นใจในความสามารถที่จะทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ 10,000 ล้านบาท "ดร.ธีระชนกล่าวและว่า
ในเรื่องของยอดการสั่งสร้างบ้านในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ทางบริษัท ยังดำเนินการไปตามแผนเดิมอยู่ เนื่องจากบริษัทได้สั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง ซื้อที่ดิน และการทำสัญญาก่อสร้างไปแล้ว ทำให้ต้องเดินหน้าตามแผนเดิม แต่อาจจะมีการปรับลดจำนวนการก่อสร้างลงจากเดิมเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และอัตราการขยายตัวของตลาด
ในส่วนของการดำเนินธุรกิจนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องปรับตัวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะนอกจากปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้น ปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำมันที่กดดันให้ราคาสินค้าเกือบทุกประเภทปรับขึ้น ภาวะเงินเฟ้อตามมา ส่วนปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ(ซับไพรม์)ที่มีมาช้านานก็ยังไม่สิ้นสุดและส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อภาวะการเงินของโลกอีกด้วย
“เป็นธรรมดาที่ปัญหาการเมืองจะต้องกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ธุรกิจประเภทใดที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งตอนนี้ธุรกิจท่องเที่ยว ตลาดทุนกระทบแน่นอน ส่วนอสังหาฯต้องมาดูแยกย่อยว่ากระทบต่อผู้บริโภคระดับไหน อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าดีใจอยู่ก็คือ อัตราการว่างงานของคนไทยไม่ได้ลดลงสะท้อนว่าการลงทุนยังดีอยู่”
สำหรับภาวะการณ์ซื้อขายอสังหาฯในปัจจุบัน ในส่วนของแอล.พี.เอ็น.นั้นผู้เข้าชมโครงการ รวมไปถึงอัตราการซื้อในแต่ละสัปดาห์ยังเป็นปกติ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้าหรือเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งไม่นับสัปดาห์ที่พันธมิตรฯบุกยึดทำเนียบเป็นครั้งแรกนั้น อาจตกลงไปตามภาวะ อย่างไรก็ตาม ทางคณะผู้บริหารบริษัทฯก็ได้จับตาสถานการณ์ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
ส่วนการทำการตลาดนั้น เป็นปกติที่ช่วงไตรมาส 3-4 เป็นฤดูขายที่อยู่อาศัย ทำให้ช่วงนี้ทุกบริษัทต่างออกแคมเปญกระตุ้นยอดขายกว่ากว่าทุกช่วงของปี แต่สำหรับปีนี้อาจพิเศษมากขึ้น เพราะมีภาวะการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจทำให้ต้องมีแคมเปญที่มากกว่าและแรงกว่าปกติ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในเดือนนั้นๆด้วย ว่าควรมีแคมเปญการตลาดอะไรออกบ้าง
นายจรัญกล่าวต่อว่า สำหรับการทำการตลาดของแอล.พี.เอ็น.ในช่วงนี้จะเน้นไปที่ LPN Green ที่คำนึงถึงการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่ให้ความสำคัญตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบห้องชุดในโครงการจนถึงการบริหารชุมชน ได้แก่ 1.Green Design การออกแบบโครงการโดยคำนึงถึงการประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม 2. Green Material & Equipment การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ประหยัดพลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 3.Green Energy การใช้พลังงานทดแทน และ 4.Green Community Management การรักษามาตรฐานการบริหารและการใช้ทรัพยากรให้คงสภาพเดิม
ล่าสุด แอล.พี.เอ็นได้เข้าร่วมในโครงการสินเชื่ออาคารประหยัดพลังงาน ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ได้รับวงเงินกู้มาจาก สำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณะรัฐฝรั่งเศส หรือ เอเอฟดี ในการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการที่สร้างอาคารประหยัดพลังงานตรงตามข้อกำหนดที่เอเอฟดีตั้งไว้ รวมไปถึงการให้สินเชื่อแก่ประชาชนที่ซื้อห้องชุดของโครงการดังกล่าว
" การสร้างอาคารของแอล.พี.เอ็น.เกือบจะตรงตามที่เอเอฟดีกำหนดทุกประการ ยังเว้นกระจกเขียวตัดแสงที่ต้องปรับเปลี่ยน แต่เป็นการปรับไม่มาก เพราะบางมุมของอาคารได้ออกแบบเพื่อรับลมอยู่แล้ว จะเปลี่ยนก็เป็นบางจุดเท่านั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แอล.พี.เอ็น.ต้องทำต่อจากนี้ คือ การเจรจากับลูกค้าให้ใช้เครื่องปรับอากาศตรงตามสเปคที่กำหนดมา ซึ่งแพงกว่าเครื่องปรับอากาศที่ไปประมาณ 2,000-3,000 บาท"
***PFลั่นถ้าการเมืองไม่จบ
***ลดเป้ายอดขายปีหน้า10%
ดร.ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ (PF) กล่าวถึงการรับมือจากปัจจัยลบทางการเมืองตอนนี้ว่า คงต้องติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดว่าจะปรับตัวไปในทิศทางใด ซึ่งในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ปัจจัยทางการเมืองที่เกิดขึ้น ยังไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายมากนัก แต่หลังจากนี้เชื่อว่า หากสถานการณ์ยังไม่ยุติ ผลกระทบจะเริ่มทวีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
" ขณะนี้ เพอร์เฟคฯ ได้มีการปรับแผนการก่อสร้างบ้านสั่งสร้างใหม่ โดยจะลดจำนวนการพัฒนาบ้านสั่งสร้างลง เพื่อรองรับสถานการณ์ตลาดในช่วง4เดือนที่เหลือ และหากช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ ตลาดยังกระเตื้องขึ้นมาอีก คาดว่าในปี 2552 ทางบริษัทอาจจะต้องปรับลดเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายลงจากเดิม10% ลดจำนวนก่อสร้างโครงการ เพื่อบริหารสต็อกสินค้าแทนที่จะผลิตสินค้ามากจนล้นและกลายเป็นภาระกับบริษัท รวมถึงการปรับแผนการตลาดใหม่ในปีหน้า จากเดิมที่วางเป้าจะเป็นปีแห่งการรุกและบุกตลาดให้หนักมากขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน บ่งชี้ให้เห็นสัญญาณตลาดที่น่ากังวลอยู่ สำหรับในปีนี้ ทางบริษัทมั่นใจในความสามารถที่จะทำยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้ 10,000 ล้านบาท "ดร.ธีระชนกล่าวและว่า
ในเรื่องของยอดการสั่งสร้างบ้านในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ทางบริษัท ยังดำเนินการไปตามแผนเดิมอยู่ เนื่องจากบริษัทได้สั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง ซื้อที่ดิน และการทำสัญญาก่อสร้างไปแล้ว ทำให้ต้องเดินหน้าตามแผนเดิม แต่อาจจะมีการปรับลดจำนวนการก่อสร้างลงจากเดิมเล็กน้อย เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และอัตราการขยายตัวของตลาด