ดัชนีตลาดหุ้นไทยสุดผันผวน นักลงทุนทิ้งหุ้นพลังงานกดดัชนีหยุด 650 จุด ก่อนเด้งรับข่าวครม. ไฟเขียวประชาพิจารณ์แก้วิกฤตการเมือง ปิดบวก 4.92 จุด ขณะที่นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้น 3 วันติดตั้งแต่ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมมูลค่า 9.3 พันล้านบาท ด้านบล.ทิสโก้ ลั่นต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นไทยอีก 2 หมื่นล้านบาท ในช่วง 1-2 เดือนนี้ เพื่อระดมเงินสำรองรับพิษซับไพรม์ไตรมาส 3 /51
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (4 ก.ย.) ดัชนียังคงผันผวน เปิดการซื้อขายช่วงเช้าปรับตัวลดลง จากความกังวลราคาน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่อง บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไร้ทางออก หลังนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศย้ำเจตนาที่จะไม่มีการลาออก หรือยุบสภา กดดันให้ดัชนีลดลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 642.28 จุด แม้ช่วงบ่ายจะเด้งรับข่าวที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ทำประชาพิจารณ์เพื่อหาทางออกและแก้ปัญหาทางการเมือง
โดยในช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 656.11 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 654.85 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 4.92 จุด หรือคิดเป็น 0.76% มูลค่าการซื้อขาย 12,121.56 ล้านบาท
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง คือมียอดขายสุทธิ 2,689.63 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,152.19 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,537.44 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิรวม 3 วันหลักประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินรวมทั้งสิ้น 9,300.07 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยถึง สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน ว่า คาดว่าการเมืองน่าจะจบภายในเดือนกันยายนนี้ โดยความเป็นไปได้สูงสุดคือ พรรคร่วมรัฐบาลจะถอนจากการร่วมรัฐบาล กดดันให้นายสมัครต้องประกาศยุบสภาในที่สุด
"การยุบสภาคงไม่ได้เกิดจากนายสมัครเอง เพราะได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่ลาออก หรือยุบสภา แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมจนก่อให้เหตุการณ์บานปลาย นายสมัครก็จะไม่ลาออก แต่ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือพรรคร่วมขอถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ดัชนีอยู่ที่ระดับ 640-630 จุด"
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า จากปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและต่อเนื่องถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาส 3/51 โดยคาดว่าจีดีพีน่าจะอยู่ที่ 4.7% ชอละตัวจากไตรมาส 2/51 ที่ระดับ 5.3% และกระทบต่อเนื่องถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/51 แย่ที่สุดของปีนี้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน หากรัฐบาลประกาศยุบสภา ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที 2 วันหลังจากที่ประกาศยุบสภา บริษัทแนะนำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 680-688 จุด และถือเงินสดรอซื้อสะสมในเดือนตุลาคม 51 ที่ 630 จุด หรือ 580-600 จุด เพราะคาดว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเอเชียจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนนี้ ส่งผลให้ไตรมาส 1/51 ตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดอย่างน้อย 100-150 จุด ซึ่งจะเป็นแรงซื้อขายนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก เพราะราคาหุ้นปัจจุบันถูกมาก โครงการซื้อหุ้นของบจ.กว่า 50 แห่ง รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยทรงตัวและเงินเฟ้อ
ส่วนมูลค่าเงินลงทุนซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่ปี 2547 นั้น ขณะนี้คงเหลืออีกประมาณ 75,800 ล้านบาท จากปีนี้ที่มีการขายสุทธิออกมาแล้ว 104,825 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าในช่วง 1-2 เดือนนี้นักลงทุนต่างชาติจะมีแรงขายออกมาอีก 20,000 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 3/51 ทางสถาบันการเงินของอเมริกาและยุโรปจะต้องมีการเพิ่มทุนจำนวนมาก และกองทุนต่างๆจะต้องมีการสำรองเงินไว้เพื่อรองรับลูกค้ามีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนทำให้กองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) จำนวนมากขาดทุน
"บริษัทคาดว่าไตรมาส 3/51 นี้ จะมีสถาบันการเงินสหรัฐฯ ประสบปัญหาจนถึงขั้นปิดกิจการเพิ่ม จากช่วงที่ผ่านมาแบงก์เล็กได้ปิดการไปแล้วกว่า 10 แห่ง ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับลดลงได้อีก 500 จุด ไปแตะที่ระดับ 10,000 จุด โดยที่ผ่านมามีแบงก์ขนาดเล็กมีการปิกิจการไปแล้ว 10 แห่ง ซึ่งคาดว่าดัชนีดาวโจนส์จะมีการปรับตัวลดลงอีก 500 จุด ไปอยู่ที่ระดับ 10,000 จุด"
ทั้งนี้ จากข้อมูลของบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (FDIC) ระบุว่า ธนาคารที่ประสบปัญหาทางการเงินในไตรมาส 2/51 มีจำนวน 117 แห่ง เพิ่มขึ้น 27 แห่ง จาก 90 แห่ง ในไตรมาส1/51ส่วนสินทรัพย์ที่มีปัญหารวม 78,300 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 52,000 ล้านเหรียญ จากสถาบันการเงิน 90 แห่ง
อย่างไรก็ตาม คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/51 โดยต้องรอให้ค่าเงินบาททรงตัว และการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
**หุ้นกระเตื้องระยะสั้น
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวผันผวน โดยช่วงเช้าปรับตัวลดลงจากความกังวลราคาน้ำมันดิบที่ลดลงจึงมีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมา บวกกับการเมืองยังไม่มีความชัดเจน แต่ดัชนีได้ปรับตัวขึ้นช่วงบ่าย หลัง ครม. มีมติให้ทำประชาพิจารณ์ รับฟังความคิดเห็นประชาชนเพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง
"การทำประชาพิจารณ์จะต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เพราะต้องรอประกาศในการทำประชาพิจารณ์ที่จะเริ่มทำได้ในเดือนตุลาคมนี้ แต่นักลงทุนต้องมีการติดตามสถานการณ์การเมืองใกล้ชิด เพราะการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ซึ่งนักลงทุนต้องอาศัยจังหวะในการเก็งกำไรเป็นรายวัน" นายโกสินทร์ กล่าว
นายโกสินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง และจะยังไม่กลับเข้ามาลงทุน แต่จะมีมูลค่าการขายที่ลดลง โดยนักลงทุนต่างชาติรอดูว่ารัฐบาลจะมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ หากการเมืองยังไม่มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ดัชนีตลาดหุ้นจะผันผวนตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ ตลาดหุ้นต่างประเทศ และจากในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนในประเทศมีการซื้อสุทธิต่อเนื่อง ซึ่งหากดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาหากดัชนีใกล้ระดับแนวต้าน โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 645-647 จุด แนวต้านที่ระดับ 658-660 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คงจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุน โดยคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 640.650 จุด โดยหุ้นพลังงานยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเข้าลงทุน
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ตลาดหุ้นยังคงปรับตัวผันผวน โดยแรงซื้อที่มีเข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นแรงซื้อเพื่อเก็งกำไร หลังจากราคาหุ้นได้ปรับตัวลดต่ำมากกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว ขณะที่แนวโน้มวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ แนวรับที่ 645 จุด และแนวต้านที่ 665 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงจะเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มทั่วไป ซึ่งนักลงทุนต้องจับตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (4 ก.ย.) ดัชนียังคงผันผวน เปิดการซื้อขายช่วงเช้าปรับตัวลดลง จากความกังวลราคาน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่อง บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไร้ทางออก หลังนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศย้ำเจตนาที่จะไม่มีการลาออก หรือยุบสภา กดดันให้ดัชนีลดลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 642.28 จุด แม้ช่วงบ่ายจะเด้งรับข่าวที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ทำประชาพิจารณ์เพื่อหาทางออกและแก้ปัญหาทางการเมือง
โดยในช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 656.11 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 654.85 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 4.92 จุด หรือคิดเป็น 0.76% มูลค่าการซื้อขาย 12,121.56 ล้านบาท
ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง คือมียอดขายสุทธิ 2,689.63 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,152.19 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,537.44 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิรวม 3 วันหลักประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินรวมทั้งสิ้น 9,300.07 ล้านบาท
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยถึง สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดอยู่ในปัจจุบัน ว่า คาดว่าการเมืองน่าจะจบภายในเดือนกันยายนนี้ โดยความเป็นไปได้สูงสุดคือ พรรคร่วมรัฐบาลจะถอนจากการร่วมรัฐบาล กดดันให้นายสมัครต้องประกาศยุบสภาในที่สุด
"การยุบสภาคงไม่ได้เกิดจากนายสมัครเอง เพราะได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าจะไม่ลาออก หรือยุบสภา แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมจนก่อให้เหตุการณ์บานปลาย นายสมัครก็จะไม่ลาออก แต่ทางออกที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดคือพรรคร่วมขอถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ดัชนีอยู่ที่ระดับ 640-630 จุด"
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า จากปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการบริโภคและต่อเนื่องถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาส 3/51 โดยคาดว่าจีดีพีน่าจะอยู่ที่ 4.7% ชอละตัวจากไตรมาส 2/51 ที่ระดับ 5.3% และกระทบต่อเนื่องถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/51 แย่ที่สุดของปีนี้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน หากรัฐบาลประกาศยุบสภา ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที 2 วันหลังจากที่ประกาศยุบสภา บริษัทแนะนำให้นักลงทุนทยอยขายหุ้นทำกำไรเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 680-688 จุด และถือเงินสดรอซื้อสะสมในเดือนตุลาคม 51 ที่ 630 จุด หรือ 580-600 จุด เพราะคาดว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเอเชียจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนนี้ ส่งผลให้ไตรมาส 1/51 ตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดอย่างน้อย 100-150 จุด ซึ่งจะเป็นแรงซื้อขายนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก เพราะราคาหุ้นปัจจุบันถูกมาก โครงการซื้อหุ้นของบจ.กว่า 50 แห่ง รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยทรงตัวและเงินเฟ้อ
ส่วนมูลค่าเงินลงทุนซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนต่างชาตินับตั้งแต่ปี 2547 นั้น ขณะนี้คงเหลืออีกประมาณ 75,800 ล้านบาท จากปีนี้ที่มีการขายสุทธิออกมาแล้ว 104,825 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าในช่วง 1-2 เดือนนี้นักลงทุนต่างชาติจะมีแรงขายออกมาอีก 20,000 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 3/51 ทางสถาบันการเงินของอเมริกาและยุโรปจะต้องมีการเพิ่มทุนจำนวนมาก และกองทุนต่างๆจะต้องมีการสำรองเงินไว้เพื่อรองรับลูกค้ามีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนทำให้กองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) จำนวนมากขาดทุน
"บริษัทคาดว่าไตรมาส 3/51 นี้ จะมีสถาบันการเงินสหรัฐฯ ประสบปัญหาจนถึงขั้นปิดกิจการเพิ่ม จากช่วงที่ผ่านมาแบงก์เล็กได้ปิดการไปแล้วกว่า 10 แห่ง ซึ่งจะส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับลดลงได้อีก 500 จุด ไปแตะที่ระดับ 10,000 จุด โดยที่ผ่านมามีแบงก์ขนาดเล็กมีการปิกิจการไปแล้ว 10 แห่ง ซึ่งคาดว่าดัชนีดาวโจนส์จะมีการปรับตัวลดลงอีก 500 จุด ไปอยู่ที่ระดับ 10,000 จุด"
ทั้งนี้ จากข้อมูลของบรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (FDIC) ระบุว่า ธนาคารที่ประสบปัญหาทางการเงินในไตรมาส 2/51 มีจำนวน 117 แห่ง เพิ่มขึ้น 27 แห่ง จาก 90 แห่ง ในไตรมาส1/51ส่วนสินทรัพย์ที่มีปัญหารวม 78,300 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 52,000 ล้านเหรียญ จากสถาบันการเงิน 90 แห่ง
อย่างไรก็ตาม คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 4/51 โดยต้องรอให้ค่าเงินบาททรงตัว และการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
**หุ้นกระเตื้องระยะสั้น
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวผันผวน โดยช่วงเช้าปรับตัวลดลงจากความกังวลราคาน้ำมันดิบที่ลดลงจึงมีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมา บวกกับการเมืองยังไม่มีความชัดเจน แต่ดัชนีได้ปรับตัวขึ้นช่วงบ่าย หลัง ครม. มีมติให้ทำประชาพิจารณ์ รับฟังความคิดเห็นประชาชนเพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง
"การทำประชาพิจารณ์จะต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน เพราะต้องรอประกาศในการทำประชาพิจารณ์ที่จะเริ่มทำได้ในเดือนตุลาคมนี้ แต่นักลงทุนต้องมีการติดตามสถานการณ์การเมืองใกล้ชิด เพราะการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ซึ่งนักลงทุนต้องอาศัยจังหวะในการเก็งกำไรเป็นรายวัน" นายโกสินทร์ กล่าว
นายโกสินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง และจะยังไม่กลับเข้ามาลงทุน แต่จะมีมูลค่าการขายที่ลดลง โดยนักลงทุนต่างชาติรอดูว่ารัฐบาลจะมีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ หากการเมืองยังไม่มีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง ดัชนีตลาดหุ้นจะผันผวนตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ ตลาดหุ้นต่างประเทศ และจากในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนในประเทศมีการซื้อสุทธิต่อเนื่อง ซึ่งหากดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะทำให้มีแรงขายทำกำไรออกมาหากดัชนีใกล้ระดับแนวต้าน โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 645-647 จุด แนวต้านที่ระดับ 658-660 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คงจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุน โดยคาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 640.650 จุด โดยหุ้นพลังงานยังเป็นกลุ่มที่น่าสนใจเข้าลงทุน
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วานนี้ตลาดหุ้นยังคงปรับตัวผันผวน โดยแรงซื้อที่มีเข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นแรงซื้อเพื่อเก็งกำไร หลังจากราคาหุ้นได้ปรับตัวลดต่ำมากกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว ขณะที่แนวโน้มวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบๆ แนวรับที่ 645 จุด และแนวต้านที่ 665 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงจะเป็นหุ้นในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มทั่วไป ซึ่งนักลงทุนต้องจับตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด