ธอส.ประเดิมปล่อยกู้อาคารประหยัดพลังงาน คัด 9 ผู้ประกอบการเข้าร่วม หวังปล่อยกู้ผู้ซื้ออัตราดอกเบี้ย 6% นาน 15 ปี คาดเริ่มปล่อยได้ต้นปีหน้า ชี้หากโครงการประสบความสำเร็จ เอเอฟดีจากฝรั่งเศสปล่อยกู้เพิ่มแน่นอน
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธอส.ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณะรัฐฝรั่งเศส หรือ เอเอฟดี ในการให้วงเงินกู้แก่ธอส.จำนวน 40 ล้านยูโร หรือประมาณ 1,960 ล้านบาท เพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโครงการอาคารประหยัดพลังงาน รวมไปถึงประชาชนทั่วไปที่ซื้อโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ ภายหลังจากลงนามความร่วมมือแล้ว ขั้นตอนต่อไป ธอส. จะต้องเสนอให้สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาหลักการของสัญญา จากนั้นจะเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติ โดยไม่จำเป็นต้องขอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติเนื่องจากโครงการดังกล่าว กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันวงเงินกู้ ซึ่งคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้เร็วที่สุดภายในสิ้นปี 51 หรือไตรมาส 1 ของปี 52
สำหรับอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อดังกล่าวที่เอเอฟดีจะคิดกับธอส. จากต้นทุนดอกเบี้ยในอัตราคงที่ระยะยาว 15 ปี โดยจะคิดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ธอส.เบิกจ่ายเงิน ซึ่งหากคิดอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันจะอยู่ที่ระดับ 4.5% และเมื่อธอส.จะนำไปปล่อยต่อโดยบวกเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานอีกประมาณ 1.5-2% หรือประมาณ 6 % อย่างไรก็ตาม ธอส. จะพยายามควบคุมไม่ให้เกิน 6% คงที่ 15 ปี เนื่องจากเป็นอัตราที่ประชาชนยังให้ความสนใจอยู่ หากสูงกว่านี้อาจไม่มีความน่าสนใจได้
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า เอเอฟดี มีหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาว่าโครงการอาคารที่อยู่อาศัยเข้าข่ายรับสินเชื่อจากโครงการดังกล่าวได้ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ ที่สามารถป้องกันความร้อน อาทิ อิฐ ฉนวนกันความร้อน และกระจกตัดแสงสีเขียว
โดยหากดำเนินการตามข้อกำหนดของเอเอฟดี จะทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มอีก 5% แต่ช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานได้ 30-40% ต่อเดือน ซึ่งสามารถคืนทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นได้ภายใน 6 ปี
โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการมาเป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านี้ได้เรียกผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้ากับธอส.มาเจรจาเรื่องการก่อสร้าง วิธีปฏิบัติและได้ทำการคัดเลือกในเบื้องต้น 9 ราย ได้แก่ บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดิเวลลอปเมนท์, บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท , บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.ศุภาลัย ,บริษัท ฟลูเฮ้าส์ ผู้ประกอบการในจ.นครปฐม, บริษัทฟายน์โฮม, บ้านวิไชยวัฒน์ และบุคคลอีก 1 ราย
สำหรับสถานการณ์การปล่อยกู้สินเชื่อของธอส.จะไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ทำให้ธอส.ได้เสนอลดเป้าสินเชื่อทั้งปีเหลือ 80,000 ล้านบาท จากเป้าเดิม 95,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่า การปล่อยกู้ในโครงการนี้จะไม่เพิ่มภาระดอกเบี้ยให้ธอส.มากนัก อีกทั้งในส่วนของโครงการสินเชื่อซื้อบ้านที่อยู่ศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายรัฐบาล ขณะนี้กระทรวงการคลังอนุมัติขยายวงเงินกู้จาก 6 แสนบาทเพิ่มเป็น 1.5 ล้านบาทต่อรายแล้ว จึงคาดจะมีผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยส่งลูกค้ามาร่วมโครงการมากขึ้น และ จะสามารถปล่อยสินเชื่อจำนวน 2,000 ล้านบาทได้หมดภายใน 4 เดือน ซึ่งต่อเนื่องด้วยโครงการสินเชื่อประหยัดพลังงานได้ทันที
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธอส.ได้ลงนามความร่วมมือกับสำนักงานเพื่อการพัฒนาแห่งสาธารณะรัฐฝรั่งเศส หรือ เอเอฟดี ในการให้วงเงินกู้แก่ธอส.จำนวน 40 ล้านยูโร หรือประมาณ 1,960 ล้านบาท เพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนาโครงการอาคารประหยัดพลังงาน รวมไปถึงประชาชนทั่วไปที่ซื้อโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้ ภายหลังจากลงนามความร่วมมือแล้ว ขั้นตอนต่อไป ธอส. จะต้องเสนอให้สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาหลักการของสัญญา จากนั้นจะเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติ โดยไม่จำเป็นต้องขอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติเนื่องจากโครงการดังกล่าว กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันวงเงินกู้ ซึ่งคาดว่าจะปล่อยสินเชื่อให้ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้เร็วที่สุดภายในสิ้นปี 51 หรือไตรมาส 1 ของปี 52
สำหรับอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อดังกล่าวที่เอเอฟดีจะคิดกับธอส. จากต้นทุนดอกเบี้ยในอัตราคงที่ระยะยาว 15 ปี โดยจะคิดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ธอส.เบิกจ่ายเงิน ซึ่งหากคิดอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันจะอยู่ที่ระดับ 4.5% และเมื่อธอส.จะนำไปปล่อยต่อโดยบวกเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานอีกประมาณ 1.5-2% หรือประมาณ 6 % อย่างไรก็ตาม ธอส. จะพยายามควบคุมไม่ให้เกิน 6% คงที่ 15 ปี เนื่องจากเป็นอัตราที่ประชาชนยังให้ความสนใจอยู่ หากสูงกว่านี้อาจไม่มีความน่าสนใจได้
นายขรรค์ กล่าวต่อว่า เอเอฟดี มีหลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาว่าโครงการอาคารที่อยู่อาศัยเข้าข่ายรับสินเชื่อจากโครงการดังกล่าวได้ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ ที่สามารถป้องกันความร้อน อาทิ อิฐ ฉนวนกันความร้อน และกระจกตัดแสงสีเขียว
โดยหากดำเนินการตามข้อกำหนดของเอเอฟดี จะทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มอีก 5% แต่ช่วยประหยัดต้นทุนพลังงานได้ 30-40% ต่อเดือน ซึ่งสามารถคืนทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นได้ภายใน 6 ปี
โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการมาเป็นเวลาเกือบ 1 ปีแล้ว โดยก่อนหน้านี้ได้เรียกผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้ากับธอส.มาเจรจาเรื่องการก่อสร้าง วิธีปฏิบัติและได้ทำการคัดเลือกในเบื้องต้น 9 ราย ได้แก่ บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดิเวลลอปเมนท์, บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท , บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.ศุภาลัย ,บริษัท ฟลูเฮ้าส์ ผู้ประกอบการในจ.นครปฐม, บริษัทฟายน์โฮม, บ้านวิไชยวัฒน์ และบุคคลอีก 1 ราย
สำหรับสถานการณ์การปล่อยกู้สินเชื่อของธอส.จะไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ทำให้ธอส.ได้เสนอลดเป้าสินเชื่อทั้งปีเหลือ 80,000 ล้านบาท จากเป้าเดิม 95,000 ล้านบาท แต่เชื่อว่า การปล่อยกู้ในโครงการนี้จะไม่เพิ่มภาระดอกเบี้ยให้ธอส.มากนัก อีกทั้งในส่วนของโครงการสินเชื่อซื้อบ้านที่อยู่ศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายรัฐบาล ขณะนี้กระทรวงการคลังอนุมัติขยายวงเงินกู้จาก 6 แสนบาทเพิ่มเป็น 1.5 ล้านบาทต่อรายแล้ว จึงคาดจะมีผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยส่งลูกค้ามาร่วมโครงการมากขึ้น และ จะสามารถปล่อยสินเชื่อจำนวน 2,000 ล้านบาทได้หมดภายใน 4 เดือน ซึ่งต่อเนื่องด้วยโครงการสินเชื่อประหยัดพลังงานได้ทันที