“เครดิตสวิส” เตือนนักลงทุนเลี่ยงเข้าตลาดหุ้นไทย ชี้ ความเสี่ยงสูงหลังเกิดสถานการณ์รุนแรง เผยดัชนีหุ้นดิ่งลงไปแล้วกว่า 24% หลังนายกฯ “สมัคร” ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พร้อมระบุ ไทย-มาเลย์ กำลังเป็นตลาดหุ้นที่อ่อนแอที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปีนี้ ขณะที่เอสแอนด์พี หั่นเครดิตเป็นเชิงลบ ด้านหอการค้าต่างชาติหวั่น รัฐจุดชนวนความรุนแรง
วันนี้ (3 ก.ย.) ธนาคารเครดิต สวิส แนะนักลงทุนให้หลีกเลี่ยงการเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยและมาเลเซีย เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของทั้งสองประเทศยังคงตึงเครียด
รายงานของเครดิต สวิส ระบุว่า นักลงทุนยังไม่ควรเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ เนื่องจากไทยยังคงเผชิญสถานการณ์รุนแรงภายในประเทศ เพราะมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งอาจนำมาซึ่งความรุนแรงในการสลายการชุมนุมของประชาชนได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้ รายงานยังระบุว่า นักลงทุนยังไม่ควรเข้าซื้อหุ้นในตลาดหุ้นมาเลเซีย เนื่องจากสถานการณ์การเมืองในมาเลเซียยังไม่นิ่ง โดยเฉพาะการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างพรรครัฐบาล และ นายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจมาเลเซียตกอยู่ในความเสี่ยง
ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ประเมินว่า รัฐบาลไทยไม่มีศักยภาพเพียงพอ และการสร้างความชอบธรรมในการบริหารประเทศ เพราะพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างประชาชน และการสร้างชนวนความรุนแรงตลอดเวลา
นายแดน ไฟร์แมน นักวิเคราะห์ของเครดิต สวิส กล่าวว่า สถานการณ์ที่ตึงเครียดทางการเมืองจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อตลาดหุ้น สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่พยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เราขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งสองแห่งนี้
ทั้งนี้ พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยดิ่งลงไปแล้วกว่า 24% ในปีนี้ และเมื่อวานนี้ดัชนีได้ร่วงลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปี หลังจาก นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศภาวะฉุกเฉิน ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวที่ช้าลง โดยในช่วงครึ่งปีแรกอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงแตะระดับ 5.5% เนื่องจากยอดส่งออกถดถอยลง
ขณะที่ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นมาเลเซียดิ่งลง 25% ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นมาเลเซียกลายเป็น 2 ตลาดหุ้นที่อ่อนแอที่สุดในตลาดหุ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ รองจากตลาดหุ้นเวียดนาม
ก่อนหน้านี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) เปิดเผยว่า เอสแอนด์พี อาจปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยสู่เชิงลบ จากมีเสถียรภาพ หลังจากเกิดเหตุความวุ่นวายทางการเมืองซึ่งอาจจะนำไปสู่ความรุนแรง และส่งผลกระทบต่อความสามารถของไทยในการดึงดูดการลงทุน
ด้าน โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยและมาเลเซียจะเผชิญภาวะผันผวนหนักขึ้นอีก อีกทั้งแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองของไทยและมาเลเซีย
นายบีท เลนเฮอร์ นักวิเคราะห์จาก LGT Capital Management กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เราให้อันดับความน่าลงทุนของตลาดหุ้นไทยที่ “underweight” เนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในประเทศยังคงเป็นลบ และให้อันดับความน่าลงทุนของตลาดหุ้นมาเลเซียที่ “underweight” เนื่องจากสถานการณ์การเมืองที่ผันผวนเช่นกัน
**เวิลด์แบงก์เชื่อ ศก.ไทยยังแข็งแกร่งพอ
น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาตร์ ธนาคารโลกประจำประเทศไทย (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์ในประเทศ ซึ่งเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้ ยังไม่น่าจะกระทบกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่ง และคาดว่าปัญหาการเมืองจะเป็นเรื่องระยะสั้น
"ปกติแล้วในการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศจะให้ความสำคัญที่ตัวนโยบายของแต่ละประเทศ ซึ่งหากนโยบายด้านการเมืองและเศรษฐกิจไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ก็คงไม่มีผลมากนัก"
**หอการค้าต่างชาติค้าน พ.ร.ก.ตอกย้ำความรุนแรง
นายนานเดอร์ จี ฟอน เดอ ลูเฮ ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย กล่าวว่า การปะทะครั้งล่าสุด ได้เพิ่มความไม่แน่นอนทางการเมือง และทำให้เกิดคำถามว่าสถานการณ์ในไทยปลอดภัยเพียงใด ซึ่งสถานการณ์การเมืองเช่นนี้จะกลายเป็นปัจจัยลบต่อการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติที่อยู่ภายนอกเข้ามาไทย เพราะยิ่งประกาศภาวะฉุกเฉิน ยิ่งตอกย้ำความวุ่นวายของบ้านเมือง แต่ในมุมนักลงทุนต่างประเทศที่อยู่ ในไทยไม่ตระหนกกับประกาศภาวะฉุกเฉินนัก และยังพิจารณาแผนลงทุนในไทยต่อไป แต่หวังว่าจะยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินโดยเร็ว และหาทางออกการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ