ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก ยังคงปั่นป่วน นักลงทุนวิตกปัญหาการขาดทุน Q3 ของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ ฉุดค่าเงินดอลล์ร่วงหนัก เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักของโลก โดยเชื่อว่ายอดขาดทุน Q3 ของ 3 วาณิชธนกิจใหญ่จะสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์ และต้องปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีโดยรวมกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่สถานการณ์ "แฟนนีเม-เฟดดี้แมค" ยังไม่สามารถเพิ่มทุนสำเร็จ รัฐบาลอาจต้องเข้ามาอุ้ม และส่งผลกระทบต่อสถานการคลังที่อ่อนแอในทันที โดยยอดหนี้สินของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
วันนี้ (22 ส.ค.) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานสถานการณ์ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินของสหรัฐ รวมถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลสหรัฐจะรวบกิจการของ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค มาเป็นของรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า ผลประกอบการของวาณิชธนกิจรายใหญ่จะทรุดตัวลง รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ และราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นกว่า 5 ดอลลาร์/บาเรล นับเป็นอีกปัจจัยที่ฉุดดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงด้วย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับ 108.49 เยน/ดอลลาร์ จากวันพุธที่ระดับ 109.79 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนตัวลงแตะระดับ 1.0870 ฟรังค์/ดอลลาร์ จากระดับ 1.0997 ฟรังค์/ดอลลาร์
ส่วนค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.4888 ดอลลาร์/ยูโร จากระดับของวันพุธที่ 1.4742 ดอลลาร์/ยูโร และเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ 1.8767 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.8616 ดอลลาร์/ปอนด์
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 0.7204 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.7120 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.8790 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 0.8732 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
นายเดวิด โซลิน นักวิเคราะห์จาก ฟอเรนจ์ เอ็กซ์เชนจ์ อนาไลติก ในรัฐคอนเน็กติกัต กล่าวยอมรับว่า ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์ก NYMEX (New York Mercantile Exchange) ที่พุ่งขึ้นรุนแรงถึง 5.62 ดอลลาร์ แตะที่ 121.18 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากสถานการณ์รุนแรงระหว่างจอร์เจียและรัสเซียยังคงยืดเยื้อ จนล่าสุดรัสเซียประกาศระงับความร่วมมือทางทหารกับองค์การนาโต้ เพื่อท้าทายคำขู่ของสหรัฐที่ว่า หากรัสเซียไม่ถอนทหารออกจากจอร์เจีย นาโต้และประเทศสมาชิกจะไม่ให้ความร่วมมือทางทหารกับรัสเซีย
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ต.ค.พุ่งขึ้น 5.62 ดอลลาร์ ปิดที่ 121.18 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 122.04 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือน ก.ย.พุ่งขึ้น 13.71 เซนต์ ปิดที่ 3.006 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.ย.ปิดบวก 13.49 เซนต์ แตะที่ 3.0452 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 5.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 120.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในภาคการเงินนับตั้งแต่นิตยสารบาร์รอนรายงานว่า หากบริษัทสินเชื่อรายใหญ่ แฟนนี เม และเฟรดดี แมค ไม่ประสบความสำเร็จในการระดมทุนครั้งใหม่ ก็อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐเพิ่มทุนด้วยตัวเอง ด้วยนำเงินของผู้เสียภาษีมาซื้อหุ้นทั้งหมดของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค และรวบกิจการทั้งหมดมาเป็นของรัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวอาจทำให้หนี้สินของสหรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
นอกจากนี้ ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กยังถูกกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของวาณิชธนกิจรายใหญ่ในสหรัฐ หลังจากวิลเลียม ทาโนนา นักวิเคราะห์จากโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า เลห์แมน บราเธอร์ส จะขาดทุนอย่างหนักถึง 2.5-3.5 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาส 3 และเชื่อว่าการที่ภาคการเงินของสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้นได้นั้นยังคงต้องเวลาอีก 2-3 ไตรมาส
นักวิเคราะห์ตลาดเงินนิวยอร์ก ยังปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3 และผลประกอบการตลอดปี 2551 ของเมอร์ริล ลินช์ , เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และมอร์แกน สแตนลีย์ โดยคาดว่าวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ทางบัญชีโดยรวมกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากวิกฤตการณ์สินเชื่อที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีที่แล้ว และส่งผลให้สถาบันการเงินหลายแห่งขาดทุนหนักสุดเป็นประวัติการณ์ โดยคาดว่าจะมีตัวเลขสูงถึง 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ก่อนหน้านี้ นายเคนเนธ โรจอฟฟ์ อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ซึ่งปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด กล่าวว่า วิกฤติการเงินโลกยังไม่ผ่านพ้นภาวะเลวร้ายที่สุด และเตือนว่าธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของสหรัฐจะล้มละลายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สำนักงานคอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยเอกชนของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ค.ร่วงลง 0.7% แตะระดับ 101.2 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2547 และมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยับลงเพียง 0.2%
ด้านคาร์เมน โรเมโร โฆษกประจำองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ออกแถลงการณ์ที่ศูนย์อำนวยการนาโต้ในบรัสเซลส์ว่า รัสเซียประกาศระงับความร่วมมือทางทหารกับนาโต้ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นโต้ตอบเกือบจะทันที หลังสหรัฐเตือนรัสเซียว่าหากวิกฤตการณ์ในจอร์เจียยังไม่คลี่คลายลง ก็อาจไม่มีความร่วมมือทางทหารระหว่างนาโตกับรัสเซีย
ขณะที่นายกอร์ดอน จอห์นโดน โฆษกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐกล่าว "เราคงไม่สามารถประสานความร่วมมือทางทหารกับรัสเซียได้ จนกว่าสถานการณ์ในจอร์เจียจะคลี่คลาย
นอกจากนี้ มีรายงานว่าชาวจอร์เจียนับหมื่นคนรวมตัวประท้วงเรียกร้องให้รัสเซียเร่งถอนทหารออกจากจอร์เจีย สวนทางกับผู้นำดินแดนเซาท์ออสซีเทียและอับคาเซีย ที่ต้องการให้รัสเซียคงกองกำลังไว้ต่อไป
นอกจากนี้ ภาพข่าวจากสถานีโทรทัศน์ APTN แสดงให้เห็นว่า ทหารรัสเซียพร้อมอาวุธหนัก ยังคงประจำการอยู่บริเวณพรมแดนเมืองท่าโปติของจอร์เจีย สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้าน จนต้องออกมาเดินขบวนกดดันให้ทหารรัสเซียถอนกำลังออกไปโดยเร็ว แม้ประธานาธิบดี ดมิทรี เมดเวเดฟ ผู้นำรัสเซีย จะยืนยันว่าทหารรัสเซียจะถอนกำลังทั้งหมดออกไปเมืองโปติของจอร์เจียในวันนี้ โดยจะกลับไปยังฐานที่มั่นตามพรมแดน และเขตรอยต่อของดินแดนเซาท์ออสซีเชีย ตามที่ระบุไว้ในข้อตกลงหยุดยิง
นายเอดิสัน อาร์มสตรอง นักวิเคราะห์จากบริษัทเทรดดิชั่น เอนเนอร์จี ในรัฐคอนเน็กติกัต กล่าวว่า สถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างรัสเซียและจอร์เจีย สร้างความตื่นตระหนกในตลาดน้ำมัน นักลงทุนให้น้ำหนักกับกระแสคาดการณ์ที่ว่าวิกฤตการณ์ครั้งนี้จะสร้างความเสียหายต่ออุปทานพลังงานในระยะเวลาที่ค่อนข้างยาว เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากซาอุดิอาระเบีย อีกทั้งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าสรายใหญ่ของสหภาพยุโรป หากการสู้รบเป็นเหตุให้การลำเลียงน้ำมันหยุดชะงักลง ก็จะเกิดวิกฤตการณ์พลังงานที่รุนแรงในยุโรปและสหรัฐทันที
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบปิดพุ่งขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา หลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันเบนซินในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 15 ส.ค. ร่วงลง 6.2 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 196.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยับลงเพียง 2.7 ล้านบาร์เรล แม้สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกินคาด 9.4 ล้านบาร์เรล แตะระดับ 305.9 ล้านบาร์เรลก็ตาม
นักลงทุนจับตาดูการประชุมกลุ่มผู้ค้าน้ำมันโลก (โอเปก) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 9 ก.ย.นี้ โดยล่าสุดนายราฟาเอล รามิเรซ รมว.พลังงานเวเนซูเอลากล่าวว่า เวเนซูเอลาจะเสนอที่ประชุมโอเปคให้ลดปริมาณการผลิตน้ำมัน หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่อง