xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 3-9 ส.ค.2551

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สมัคร สุนทรเวช นายกฯ พูดเองว่า ตนใช้สถาบันเป็น สะพานให้มีความผูกพันสมานฉันท์
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “สมัคร”เล่นของสูง- ใช้ “สถาบัน”เป็น “สะพาน”สลายม็อบ ด้าน “พันธมิตรฯ”ไม่หลงกล!

หลังจากนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้พยายามกุข่าวเพื่อดิสเครดิตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย( เช่น กุข่าวว่าพันธมิตรฯ มีแผนจะยึดศาลากลางจังหวัดเพื่อให้ทหารออกมาปฏิวัติ) รวมทั้งหาวิธีตอบโต้พันธมิตรฯ (เช่น ให้แกนนำ นปก.ใช้โทรทัศน์ช่องเอ็นบีทีจัดรายการตอบโต้พันธมิตรฯ ทุกคืน) ล่าสุด นายสมัครได้เดินเกมใหม่เพื่อดิสเครดิตและสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยอ้างว่า เหตุที่พันธมิตรฯ ต่อต้านการแก้ รธน.เพราะกลัวจะมีการแก้มาตรา 63 (เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุม) แล้วจะทำให้พันธมิตรฯ ชุมนุมไม่ได้ พร้อมกันนี้นายสมัครยังได้ผุดไอเดียจัดงานใหญ่ “จากวันแม่ถึงวันพ่อ”(12 ส.ค.-5 ธ.ค.) เป็นเวลา 116 วัน โดยอ้างว่าเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ในชาติ และจะใช้ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นสถานที่จัดงาน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า การจัดงานดังกล่าวอาจไม่ได้เจตนาให้เกิดความสมานฉันท์จริง แต่อาจเป็นไปเพื่อให้พันธมิตรฯ ซึ่งชุมนุมอยู่บริเวณสะพานมัฆวานฯ ใกล้กับลานพระบรมรูปทรงม้าต้องสลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางให้กับการจัดงานดังกล่าว ทั้งนี้ นายสมัครได้เผยถึงการจัดงานดังกล่าวผ่านรายการ “สนทนาประสาสมัคร”เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ว่า เพื่อให้คนไทยรู้รักสามัคคี และว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะทรงเป็นองค์ประธานในงานที่จะให้คนไทยเลิกแบ่งแยกกัน โดยจะมีกิจกรรมเดิน-วิ่งเทิดพระเกียรติทั่วประเทศ หลังจากนั้น 2 วันต่อมา(5 ส.ค.) นายสมัครได้กราบบังคมทูลเรื่องการจัดงานดังกล่าวต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวระหว่างนำรัฐมนตรีใหม่ 11 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยนายสมัคร กราบบังคมทูลว่า “การจัดงาน 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อ ก็ต้องพึ่งบารมีของทั้งสองพระองค์ให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน แล้วก็ต้องลืมเรื่องต่างๆ ลงได้...ทางรัฐบาลก็จะถอยทุกวิถีทาง ไม่ปะทะ ไม่เริ่มต้น ใครจะแสดงอะไรก็ให้เขาแสดงไป คงจะดับชนวนได้พระพุทธเจ้าค่ะ” ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่รัฐมนตรีใหม่ที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณว่า “ขอให้ท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามที่ปฏิญาณตน ถ้าปฏิบัติตัวดีก็ช่วยประเทศ ถ้าปฏิบัติตัวไม่ดี ก็ไม่ทำให้ประเทศเจริญ ก็ขอให้ได้ปฏิบัติตนให้ประเทศเจริญ ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของความเป็นรัฐมนตรี” เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสมัครได้พูดถึงเรื่องการจัดงาน 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่ออีกครั้งในวันต่อมา(6 ส.ค.)ระหว่างเป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์กล่าวสัมโมทนียกถาแก่ผู้เข้าร่วมพิธีบวชสีลจารีและสีลจาริณี เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่วัดยานนาวา โดยยอมรับว่า ตนใช้เบื้องสูงเป็นสะพานให้เกิดความสมานฉันท์ โดยนายสมัครบอกว่า “ในยามที่บ้านเมืองแตกแยก ตนก็ต้องพึ่งบารมีเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เมื่อคืนวันที่ 5 ส.ค.ใครดูโทรทัศน์มาจากบ้าน ตนต้องขอพูดเอาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มาเป็นสะพานให้มีความผูกพันสมานฉันท์...” ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ พูดถึงการจัดงาน 116 วันจากวันแม่ถึงวันพ่อว่า รัฐบาลพยายามจัดงานอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงไม่แน่ใจว่ามีอะไรแอบแฝงหรือไม่ หรือเพื่อให้พันธมิตรฯ ชุมนุมได้ยากขึ้น อย่างไรก็ตาม พล.ต.จำลอง บอกว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ก็เตรียมจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเช่นกัน ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล 1 ในแกนนำพันธมิตรฯ เผยถึงรายละเอียดของงานว่า ใช้ชื่องานว่า “12 สิงหาประชารวมใจเทิดแม่ของแผ่นดิน” โดยงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 10-12 ส.ค. นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า แม้แต่การจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รัฐบาลหุ่นเชิดยังพยายามบังคับให้พันธมิตรฯ ยอมสยบ แต่พันธมิตรฯ ขอยืนยันว่า ประชาชนย่อมมีสิทธิจัดงานถวายความจงรักภักดีด้วยตัวเอง และเป็นการจัดงานด้วยใจบริสุทธิ์ ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรฯ เผยถึงรูปแบบการจัดงานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า ระหว่างจัดงานดังกล่าว พันธมิตรฯ จะงดปราศรัย โดยเปลี่ยนเป็นรายการเฉลิมพระเกียรติบนเวทีและการจัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติแทน ทั้งนี้ นอกจากไอเดียนายสมัครที่จัดงานใหญ่โดยใช้ลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นสถานที่จัดงาน จะไม่สามารถทำให้พันธมิตรฯ สลายการชุมนุม เพราะได้เปลี่ยนรูปแบบการชุมนุมเป็นการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติแทนแล้ว นายสมัครยังส่งสัญญาณต้องการให้มีการแก้ รธน.มาตรา 63 เพื่อสกัดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วย ทั้งที่มาตราดังกล่าวใน รธน.2550(ซึ่งเหมือนกับ รธน.2540) บัญญัติให้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ แต่นายสมัครกลับต้องการให้เขียนเพิ่มเติมในมาตราดังกล่าวว่า “โดยไม่มีการสร้างข้อมูลเท็จเอามากล่าวหา ไม่ปลุกระดมประชาชนให้หลงผิด ไม่ใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ ไม่บังคับและไม่จ้างวานกลุ่มบุคคลใดใดให้มาร่วมชุมนุม”เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากนายสมัครจะออกอาการต้องการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมแล้ว ทาง ส.ส.พรรคพลังประชาชนนำโดยนายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร ยังได้เข้าชื่อ ส.ส.26 คนยื่นร่างกฎหมายใหม่ให้สภาพิจารณา คือ ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า เนื้อหาของร่างกฎหมายดังกล่าว นอกจากจะสอดรับกับมาตรา 63 เวอร์ชั่นของนายสมัครแล้ว ยังสะท้อนถึงความเป็นกฎหมายเผด็จการอย่างชัดเจน เพราะนอกจากจะระบุว่า ใครจะจัดชุมนุม ต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการก่อน ขณะที่คณะกรรมการดังกล่าวก็มีผู้บัญชาการตำรวจนครบาลและผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลเป็นประธาน แถมให้อำนาจตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สุด จะอุทธรณ์ใดใดต่อศาลไม่ได้ หากใครชุมนุมโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะชุมนุมด้วยความสงบเรียบร้อยหรือไม่เรียบร้อย จะต้องได้รับโทษ เช่น จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ไม่เท่านั้นร่างกฎหมายดังกล่าวยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมได้โดยไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและอาญา หากกระทำโดยสุจริต... อย่างไรก็ตาม หลังจากถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นกฎหมายเผด็จการและเป็นแนวคิดที่ถอยหลังลงคลอง ทางนายจุมพฎ ซึ่งเป็นผู้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวก็ได้ออกมาอ้างว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวตนนำมาจากสมัย สนช.ที่เคยเสนอไว้แต่ไม่สามารถพิจารณาได้เพราะองค์ประชุมไม่ครบ ด้านนายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต สนช.ได้ออกมาสวนกลับและจับโกหกนายจุมพฎว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวเคยเสนอโดยตำรวจที่เป็น สนช.แต่ระหว่างพิจารณา ถูก สนช.จำนวนมากอภิปรายคัดค้านอย่างหนัก จนผู้เสนอต้องถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป นายคำนูณ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า "พรรคพลังประชาชนชอบพูดถึง สนช.ว่าเป็นสภาเผด็จการ แต่ทำไมถึงได้พยายามหยิบร่างกฎหมายจากสภาที่ตัวเองอ้างว่าสภาเผด็จการมาใช้" ด้านนางสุนี ไชยรส กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) พูดถึงร่างกฎหมายจัดระเบียบการชุมนุมในที่สาธารณะที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนเสนอสภาว่า “แค่บอกว่าต้องขออนุญาตก่อนจัดชุมนุมก็ผิดแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ เพราะสิทธิการชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและยังมีพันธสัญญาระหว่างประเทศในเรื่องนี้ด้วย” ขณะที่ นพ.ชูชัย ศุภวงศ์ อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญและกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ก็ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายใหม่ดังกล่าวเช่นกัน โดยชี้ว่า “ต่อไปหากจะชุมนุมประท้วงเปิดโปงนักการเมืองและข้าราชการชั่ว จะต้องไปขออนุญาตจากคนชั่วเหล่านี้ก่อน แล้วคนชั่วจะยอมให้มีการชุมนุมเปิดโปงความชั่วของพวกเขาหรือ” นอกจากหลายฝ่ายจะไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายจัดระเบียบการชุมนุมฯ ของพรรคพลังประชาชนแล้ว ทางพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.ยังได้ออกมาขู่ว่าหากพรรคพลังประชาชนไม่ถอนร่างกฎหมายดังกล่าว จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างกฎหมายดังกล่าวขัด รธน.หรือไม่ เพราะละเมิดต่อหลักการของ รธน.ที่คุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุม ด้านวิปรัฐบาล ทนกระแสคัดค้านร่างกฎหมายเผด็จการดังกล่าวไม่ไหว จึงมีมติให้ตั้งอนุกรรมาธิการกลั่นกรองกฎหมายเพื่อพิจารณาว่าร่างกฎหมายดังกล่าวขัด รธน.หรือไม่ ขณะที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ จากพรรคพลังประชาชน ยังเสียงแข็ง อ้างว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีกฎหมายขึ้นมาจัดการการชุมนุม สำหรับความคืบหน้าการดำเนินคดีกลุ่มต้านพันธมิตรฯ ในจังหวัดต่างๆ ที่รื้อเวทีและรุมทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ล่าสุด(6 ส.ค.) ศาลจังหวัดมหาสารคามได้พิพากษาจำคุกผู้ก่อเหตุรื้อเวทีปราศรัยและทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ จ.มหาสารคาม(เมื่อ 23 ก.ค.)แล้ว 2 คน คนละ 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ประกอบด้วย นายธงชัย ตะติยะสุนทร อายุ 20 ปี และนายพิชิต ช่างยันต์ อายุ 37 ปี นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจจากกรณีที่ม็อบเสื้อแดงกลุ่ม นปก.-กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยที่นำโดยนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ได้พาพวกไปประท้วงขับไล่ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนเมื่อวันที่ 6 ส.ค.โดยมีการนำตัวเงินตัวทอง 9 ตัวไปปล่อยให้เข้าไปในสำนักงาน ป.ป.ช.ด้วยนั้น ปรากฏว่า ทางกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติให้แจ้งความดำเนินคดีม็อบดังกล่าวแล้ว ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136 และความผิดฐานอั้งยี่ซ่องโจร ทั้งนี้ ระหว่างเข้าแจ้งความที่ สน.ดุสิต ป.ป.ช.ได้มอบหลักฐานภาพถ่ายวีดีโอที่เจ้าหน้าที่บันทึกไว้ตลอดขณะเกิดเหตุ แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย โดยเชื่อว่าจะสามารถเอาผิดผู้ชุมนุมได้นับร้อยคน

ในหลวงรับสั่ง รมต.ใหม่ปฏิบัติตัวให้ดีเพื่อช่วยชาติ-ตรัสถามนายกฯ เรื่องการบริหารบ้านเมือง
“หมัก” กลับใจเลิกจุดชนวน สร้างความแตกแยกแล้ว!!
พันธมิตรฯ จัดงาน “12 สิงหามหาราชินี” ยิ่งใหญ่-ทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ไล่อาถรรพณ์
11-12 ส.ค.พันธมิตรฯ รวมพลังสีฟ้า ถวายพระพรแม่ของแผ่นดิน
“คำนูณ” ยัน กม.สลายม็อบโดน สนช.ตีตกไปแล้ว-แฉ นปก.ยังต้าน
รายงานพิเศษ : “กม.ติดหนวด” ...ผลงาน “เผด็จการตัวจริง”(พปช.)!!
วิปรัฐถอย ส่อถอนร่างจัดระเบียบ “พันธมิตรฯ” เข้าสภา
นปก.หยามหน้า “หมัก”ปล่อยตัวเงินตัวทองป่วน ป.ป.ช.
ศาลสารคามสั่งจำคุก 2 โจ๋ถ่อยรื้อเวทีพันธมิตรฯ 6 เดือนไม่รอลงอาญา


ปราสาทตาเมือนธม ของไทยใน จ.สุรินทร์ ที่กัมพูชาเริ่มอ้างสิทธิว่าอยู่ในดินแดนของกัมพูชาอีกแล้ว
2. “กัมพูชา”รุกคืบ-จ้องฮุบ “ปราสาทตาเมือนธม”ของไทยอีกแห่ง ขณะที่ รมว.กต. 2 ฝ่ายเตรียมหารือรอบสอง 18 ส.ค.นี้!

ความคืบหน้าการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาบริเวณพื้นที่ทับซ้อนประสาทพระวิหารหลังการประชุมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ได้ข้อสรุปว่า ให้ทั้งสองฝ่ายปรับกำลังทหารออกจากวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ(วัดคีรีสุขสวาย) รวมถึงพื้นที่รอบวัด และบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ แต่ต่อมาทางนายกฯ ฮุน เซน ของกัมพูชา ส่งสัญญาณว่าพร้อมถอนทหารออกจากบริเวณดังกล่าว แต่ไทยต้องถอนก่อนนั้น ปรากฏว่า ที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ได้มีมติให้ปรับกำลังทหารเท่าที่จำเป็น เพื่อลดการเผชิญหน้าในวัดแก้วสิขาคีรีสวาระ และบริเวณโดยรอบ รวมถึงในปราสาทพระวิหาร โดยให้เหลือกำลังเพียงพอต่อการอารักขาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ ครม.มีมติให้กองทัพไทยและกองทัพบกเจรจารายละเอียดการปรับกำลังกับผู้แทนกองทัพของกัมพูชาว่าจะปรับลดกำลังเท่าไร และเมื่อใด เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจาก ครม.จะมีมติเรื่องการปรับกำลังทหารออกจากพื้นที่ทับซ้อนแล้ว ยังได้มีมติให้โยกนายวีรชัย พลาศรัย ที่ก่อนหน้านี้ถูกนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ สั่งย้ายพ้นตำแหน่งอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เข้ากรุงเป็นเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง ให้กลับมานั่งเก้าอี้อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ตามเดิม ด้านนายเตช บุนนาค รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ บอกว่า การให้นายวีรชัยกลับมาอยู่ที่เดิม คิดว่าจะช่วยให้การทำงานดีขึ้น เพราะนายวีรชัยได้ทำเรื่องปราสาทพระวิหารอยู่ก่อนและติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด สำหรับความเคลื่อนไหวในฝั่งกัมพูชานั้น สมเด็จฮุน เซน นายกฯ ของกัมพูชา ได้พูดถึงความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาระหว่างประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 ส.ค.โดยย้ำว่า “จะต้องหาทางแก้ปัญหาโดยสันติวิธีเท่านั้น เพราะหากความขัดแย้งลุกลามกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ทั้งไทยและกัมพูชาจะได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจเหมือนๆ กัน” และว่า “ทั้งสองประเทศต้องลดความขัดแย้ง และเพิ่มมิตรภาพให้มากขึ้น เพราะกัมพูชาไม่สามารถยกประเทศไทยทิ้งไปได้ และขณะเดียวกันกัมพูชาก็ย้ายประเทศหนีไทยไม่ได้เช่นกัน จะต้องอยู่ร่วมกันต่อไปอีกนับเป็นหมื่นๆ ปี” สมเด็จฮุน เซน ยังบอกด้วยว่า การหารือครั้งต่อไประหว่างไทย-กัมพูชาจะมีขึ้นในวันที่ 18 ส.ค.นี้ ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และว่า นอกจากทั้งสองฝ่ายจะหารือกันถึงแผนโยกย้ายกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่เผชิญหน้ากันและร่วมมือกันในการเก็บกวาดทุ่นระเบิดแล้ว นายฮอ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ยังจะขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ทั้งนี้ ไม่เพียงกัมพูชาจะอ้างสิทธิเหนือพื้นที่ทับซ้อนบริเวณประสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชา(ทั้งที่ไทยยืนยันว่าเป็นของไทย) แต่ล่าสุด กัมพูชายังได้รุกคืบอ้างสิทธิเหนือดินแดนของไทยบริเวณปราสาทตาเมือนธม ที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ใน จ.สุรินทร์ด้วย โดยเมื่อวันที่ 3 ส.ค. พล.ต.สิม โสกา รองผู้บัญชาการกองกำลังปกป้องชายแดนกัมพูชา อ้างว่า ทหารไทย 70 นายได้เข้าประจำการในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธมตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ก.ค.และกีดขวางไม่ให้ทหารกัมพูชาเข้าไปในบริเวณดังกล่าว อันเป็นการสร้างบรรยากาศการเผชิญหน้าให้ตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ด้าน พล.อ.เตีย บันห์ รัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา ยืนยัน(5 ส.ค.)ว่า “ปราสาทตาเมือนธมอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาอย่างชัดเจน และเราต้องเรียกร้องเพื่อเอาคืนมา โดยจุดยืนของเราคือ พยายามเจรจากับทหารไทยเพื่อให้พวกเขาถอนกำลังออกไปจากจุดดังกล่าว” อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยก็ยืนยันเช่นกันว่า ปราสาทตาเมือนธมเป็นของไทย โดยนายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร บอกว่า แม้แต่ ศ.ยอร์ช เซเดส์ นักวิชาการชาวฝรั่งเศสที่เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเข้ามาทำงานในไทยในปี 2460 ก็ระบุว่า ปราสาทตามันธมหรือตาเมือนธมอยู่ในเขต จ.สุรินทร์ โดยได้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในเอกสารสำคัญภาษาฝรั่งเศส ชื่อ “เซเดส์ ปราสาทตามันธม” และว่า นอกจากนี้ แอมมานูเยร์ นักวิศวกรแผนที่และโบราณคดีชาวฝรั่งเศส ก็ได้บันทึกเรื่องปราสาทตาเมือนธมไว้ในหนังสือเลอคอมโบส ปี ค.ศ.1901(พ.ศ.2444)ด้วย อธิบดีกรมศิลปากร ยังบอกด้วยว่า ในส่วนของปราสาทสด๊อกก๊อกธม อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ที่มีข่าวว่ากัมพูชาจะอ้างสิทธิเช่นกัน ก็ไม่สามารถอ้างได้ เพราะมีร่องน้ำกั้นและอยู่ในเขตไทย และว่า ที่ผ่านมากรมศิลปากรก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์มาตลอด ด้านนายเขมชาติ เทพไชย รองอธิบดีกรมศิลปากร บอกว่า กรมฯ จะแปลราชกิจจานุเบกษาที่มีการบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทตาเมือนธมเป็นโบราณสถานของไทย เป็นภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเผยแพร่ให้นานาชาติรับทราบต่อไป ด้านนายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ก็ยืนยันว่า ปราสาทตาเมือนธมอยู่ในดินแดนของไทย แต่หลักเขตแดนในแถบนั้นหายไป ทำให้กัมพูชาเข้าใจผิดว่าอยู่ในดินแดนของกัมพูชา อย่างไรก็ตาม นายธฤต บอกว่า เรื่องนี้ควรให้เป็นไปตามกลไกที่มีคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชาที่จะชี้ให้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ธรรมยาตราฯค้านมติ ครม.อัปยศปรับลดทหาร “เขาวิหาร” - ร้องตั้งรัฐบาลแห่งชาติฝ่าวิกกฤต
“ฮุนเซน” หยอดคำหวานชวนไทยหย่าศึก
ท้าพิสูจน์เขมรยัน "ตาเมือนธม"สมบัติของไทย
รัฐบาลดึง"วีรชัย"กลับบัวแก้ว
เขมรมั่วปักหลักล้ำเขต! ทหารไทย “เพิ่มกำลัง”
เขมรกร่างรุกปราสาทตาเมือน


3. “ปธน.บุช”ยาหอม “ไทย”เป็นพันธมิตรเก่าแก่สุดในเอเชีย แถมเป็นผู้นำในภูมิภาคและหุ้นส่วนในโลก!

ประธานาธิบดีบุช กล่าวสุนทรพจน์ นโยบายของสหรัฐฯ ต่อเอเชีย โดยยกไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย(7 ส.ค.)
เมื่อเย็นวันที่ 6 ส.ค.นายจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนางลอรา บุช ภริยา พร้อมด้วยบุตรสาว ได้เดินทางมาเยือนไทยในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 6-7 ส.ค. โดยประธานาธิบดีบุชได้เดินทางมาด้วยเครื่องบินประจำตำแหน่งแอร์ฟอร์ซ วัน ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสหรัฐฯ ที่เดินทางมาด้วยนับพันคน หลังเดินทางถึงไทย นายจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ได้เข้าหารือกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ไทย ที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นได้แถลงผลหารือร่วมกัน โดยนายสมัคร บอกว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เดินทางมาเยือนเพื่อฉลองความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ครบ 175 ปี และว่า ได้หารือกันหลายเรื่องที่เป็นผลประโยชน์และความสนใจร่วมกัน เช่น การกระชับความร่วมมือทางทหารและความมั่นคง วันต่อมา(7 ส.ค.)นายจอร์จ ดับเบิลยู.บุช ได้กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง “นโยบายของสหรัฐฯ ต่อเอเชีย”ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยประธานาธิบดีบุชได้เริ่มต้นด้วยการทักทายผู้ฟังเป็นภาษาไทยว่า “สวัสดีครับ” จากนั้นได้เผยความรู้สึกยินดีที่ได้มาเยือนกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองที่สวยงามอีกครั้ง และรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมใช้โอกาสนี้ กล่าวถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาด้วย สำหรับประเด็นหลักๆ ในสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีบุช ได้แก่ การชมว่าไทยเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียของสหรัฐฯ นอกจากนี้สหรัฐฯ มองว่าไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้และเป็นหุ้นส่วนในโลก และสหรัฐฯ ภูมิใจที่ได้มอบสถานะพันธมิตรสำคัญนอกกลุ่มนาโต้ของสหรัฐฯ ให้กับไทย ประธานาธิบดีบุช ยังชมคนไทยที่ได้ฟื้นฟูประชาธิปไตย ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า อิสรภาพและกฎหมายยังคงเป็นใหญ่ในไทย และสหรัฐฯ จะเพิ่มพูนความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนที่อยู่ภายใต้การนำของไทยในขณะนี้ นอกจากนี้ประธานาธิบดีบุช ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่าปล่อยตัวออง ซาน ซูจี และนักโทษการเมืองทั้งหมด ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีบุชจะเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นผู้แทนพระองค์อัญเชิญดอกไม้พระราชทานมอบให้แก่นายจอร์จ ดับเบิลยู.บุช และภริยา ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นด้วย

“หมัก” โอ่ “บุช” เข้าใจเขาพระวิหาร-ผู้นำมะกันชมไทย ปชต.ดีขึ้น
“บุช” ถวายพระพร “ในหลวง”ย้ำไทย-สหรัฐฯ สัมพันธ์แน่นแฟ้น
“บุช” พร้อมภรรยาถึงไทยแล้ว -รุดหารือกินข้าวเย็นร่วม"หมัก"ที่ทำเนียบ

เนวิน ชิดชอบ อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย ยืนยัน ไม่เคยหักหลังนายใหญ่ทักษิณ โอด ถูกด่าเป็นนายห้อยก็รับได้ แต่ถูกกล่าวหาว่าทรยศนายใหญ่ ค่อนข้างเจ็บปวด
4. “เนวิน”ยัน ไม่เคยหักหลัง “นายใหญ่ทักษิณ” ด้าน “อีสานพัฒนา”เสียงอ่อย จะยื่น ป.ป.ช.สอบคนใกล้ชิดนายกฯ หรือไม่!

หลังจาก ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา พรรคพลังประชาชน นำโดย นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด ไม่พอใจการปรับ ครม.ครั้งล่าสุด ที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ สมาชิกกลุ่มฯ ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี(กระทรวงวัฒนธรรม) แทนที่จะเป็นนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย ที่ทางกลุ่มฯ วางตัวไว้ต้องการให้เป็นรัฐมนตรี โดยมีข่าวว่า ผู้มีบทบาทสำคัญในการปรับ ครม.มี 4 คน หรือ "แก๊งออฟโฟร์"(นายสมัคร สุนทรเวช นายกฯ ,นายธีรพล นพรัมภา เลขาธิการนายกฯ ,นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ,นายเนวิน ชิดชอบ อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย) นายศักดา จึงได้ออกมาแฉว่า มีคนใกล้ชิดนายสมัครที่อยู่ในแก๊งออฟโฟร์รับเช็คมูลค่า 10 ล้านบาท โดยบุคคลดังกล่าวมีภรรยานอกสมรสเป็นเจ้าของร้านเสริมสวยที่มีสาขามากถึง 30 ร้าน ซึ่งนายศักดาขู่ว่า หากนายกฯ ไม่จัดการบุคคลดังกล่าว ตนจะร้องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบนั้น ปรากฏว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นายศักดาก็ยังคงเดินหน้าแฉเรื่องฉาวของคนใกล้ชิดนายกฯ ต่อ โดยเมื่อวันที่ 4 ส.ค.นายศักดา บอกว่า มีบุคคลที่ใกล้ชิดนายกฯ และอยู่ในแก๊งออฟโฟร์ บินไปเจรจาเรื่องการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 6,000 คันที่เกาะฮ่องกงเมื่อไม่นานนี้ เพื่อล็อบบี้นักธุรกิจให้ได้ผลประโยชน์จากโครงการ และจะนำเงินที่ได้มาเป็นทุนในการตั้งพรรคใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นการเนรคุณต่อพรรค รวมทั้งยังมีการปูฐานวางเครือข่ายในกระทรวงต่างๆ ที่มีหน้าที่ในการจัดสรรงบประมาณวงเงินมหาศาล ด้านพรรคพลังประชาชนได้ประชุม(5 ส.ค.)เพื่อเคลียร์เรื่องต่างๆ กับนายศักดาและ ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา โดยมีรายงานว่า ระหว่างประชุม นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย กลุ่มอีสานพัฒนา ได้เปิดอกพูดถึงสาเหตุของการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ ว่า “สงสารนายห้างเก่า ที่มีคนในพรรคกำลังทรยศคือพวกนายห้อย ที่กำลังรวบรวมเงินจากงบประมาณต่างๆ ทั้งงบท้องถิ่น 1.5 หมื่นล้านบาท งบโครงการเช่ารถเมล์ 6,000 คัน และโครงการเมกะโปรเจกต์ เพื่อตั้งพรรคใหม่ แล้วจะสวิงพวก 70-80 คนที่อยู่ในมือไปรวมหัวกับพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล” นายปรีชา ยังพูดต่อว่า “นายห้างได้เปิดใจทำนองว่า ถูกเห็บเหลือบที่อยู่ข้างๆ กัดกิน ไม่ได้รับความเคารพเหมือนก่อน พวกตนทนไม่ได้ ขอตายแทนนายห้างใหญ่” ทั้งนี้ หลังพรรคพลังประชาชนประชุมเพื่อปิดปากนายศักดาและ ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนาได้ 1 วัน(6 ส.ค.) นายศักดา ก็ยังคงออกมายืนยันว่าจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบต่อไป เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบนั้น นายศักดา เสียงอ่อยลงโดยอ้างว่า ต้องอีกสักระยะจึงจะมีความชัดเจน ด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคพลังประชาชน และเป็น ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวิน ได้ออกมาแก้ต่างให้นายเนวิน ชิดชอบ อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย(7 ส.ค.)ว่าไม่ได้หักหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย โดยนายสุทิน บอกว่า ได้โทรศัพท์ให้กำลังใจและสอบถามนายเนวินถึงกระแสข่าวโจมตีที่เกิดขึ้น ซึ่งนายเนวิน บอกว่า “เขาจะด่าว่าอย่างไร รับได้มาตลอด ถูกด่ามาเยอะจนชินแล้ว เป็นนายห้อยก็รับได้หมด แต่ที่รับไม่ได้คือการกล่าวหาว่าผมทรยศต่อนายใหญ่ทักษิณ ค่อนข้างเจ็บปวด เพราะชีวิตนี้ไม่เคยทรยศหรือหักหลังใคร โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีอะไรที่จะต้องหักหลัง เพราะต่างคนต่างก็เป็นเสือลำบากด้วยกันทั้งคู่” นายสุทิน ยังบอกด้วยว่า นายเนวินได้โทรศัพท์ไปคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณที่พำนักอยู่ต่างประเทศแล้ว และ พ.ต.ท.ทักษิณยังหัวเราะและพูดให้กำลังใจนายเนวินว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นความจริง วันต่อมา(8 ส.ค.)มีรายงานว่า นายเนวินได้เรียกประชุม ส.ส.ในกลุ่ม 96 คน ที่อาคารไอเอฟซีที โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณเข้าร่วมประชุมด้วย โดยที่ประชุมกลุ่มเพื่อนเนวินสงสัยว่านายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาฯ ,ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต กก.บห.พรรคไทยรักไทย อาจอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนา ทางด้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ได้ประชุมหารือกับ ส.ส.กลุ่มอีสานพัฒนาเมื่อวันที่ 7 ส.ค.โดยนายสมชายบอกกับ ส.ส.กลุ่มดังกล่าวว่า “เข้าใจทุกอย่าง แต่ขอให้เคลื่อนไหวอยู่ในจุดที่เหมาะสม เพราะภาพที่ออกไปสู่สังคมทำให้ภาพพจน์ของพรรคเสียหาย จึงไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปมากกว่านี้” ขณะที่นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม แกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา บอกหลังประชุมว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ จะมีการหารือกันอีกครั้งในต้นสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะการยื่นข้อมูลหลักฐานพฤติกรรมที่มิชอบของคนใกล้ชิดนายกฯ ให้ ป.ป.ช.ที่ทางกลุ่มฯ ได้ประกาศออกไปแล้ว หากไม่ดำเนินการใดใดเลย อาจถูกสังคมติฉินนินทาไปในทางที่ไม่ดีได้ จึงขอหารือกับแกนนำกลุ่มฯ อีกครั้ง ส่วนทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาปฏิเสธข่าวการจับมือกับกลุ่มนายเนวินเพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคฯ ยืนยันไม่เคยคุยกันตามที่เป็นข่าว อย่าเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคฯ ก็ยืนยันว่าเป็นข่าวโคมลอย ไม่เคยมีใครในพรรคพลังประชาชนมาติดต่อ และพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีใครไปติดต่อกับ ส.ส.พรรคพลังประชาชนแต่อย่างใด และว่า “ผมไม่คิดว่า คนในสังกัดคุณเนวินจะมาร่วมงานทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ได้ เพราะอุดมการณ์ แนวคิดทางการเมืองไม่เหมือนกัน

พปช.ส่อเค้าแตกแน่! สาวไส้“ยุทธ-หน่อย-เหลิม” ชักใย “อีสานพัฒนา”
พปช.แถลงปัดพรรคร้าว-เบรก“อีสานพัฒนา” สอบคนใกล้ชิด “หมัก”
“อีสานพัฒนา” กินดีหมีลั่นสางโกง ชี้ “ออฟโฟร์” ส่งผีปอบเขมือบ มท.
อีสานพัฒนาเจาะยาง “หมัก”งาบรถเมล์ ถอนยวงตั้งพรรคใหม่

สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เมื่อครั้งหาเสียงในการสมัคร ส.ส.เชียงใหม่ พรรค พปช.โดยเดินคู่กองเชียร์ที่ใส่หน้ากาก พ.ต.ท.ทักษิณ มาวันนี้สุรพงษ์สวมบท ปธ.กมธ.การเงินฯ จี้ให้มีการถอนอายัดเงิน 6.9 หมื่นล.ของ พ.ต.ท.ทักษิณ(ภาพ-เนชั่น)
5. “แม้ว-อ้อ”ส่อ ยังไม่ลี้ภัย จองตั๋วกลับจากจีนแล้ว ด้าน "พปช.”เอาใจทักษิณ จี้ ถอนอายัด 6.9 หมื่นล.!

เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาคำร้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่งคำโต้แย้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย(ตาม รธน.มาตรา 211)ว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 และ 122(ซึ่งเป็นมาตราที่ คตส.ฟ้องเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานในคดีซื้อที่รัชดาฯ) ขัดหรือแย้งต่อ รธน.2540(มาตรา 29 ,50) ,ขัดหรือแย้งต่อ รธน.ฉบับชั่วคราว 2549(มาตรา 3 ,38) และขัดต่อ รธน.2550(มาตรา 26 ,27 ,28 ,29 ,39 ,43)หรือไม่ โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช.ไม่ขัด รธน.2550 แต่อย่างใด และว่า มาตรา 4 ,100 และ 122 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว สอดคล้องกับหลักการสำคัญของ รธน.เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมทั้งยังบัญญัติทางแก้ไขไว้ด้วยว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็นยินยอมด้วยในการกระทำของคู่สมรส ให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีความผิด ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวถือว่ามีขอบเขตที่พอเหมาะพอควร สมเหตุสมผล ไม่เป็นการล่วงละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือจำกัดสิทธิเสรีภาพเกินจำเป็นแต่อย่างใด ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวขัด รธน.2540 และ 2549 หรือไม่นั้น ศาลฯ เห็นว่าไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เนื่องจาก รธน.ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวได้เลิกใช้ไปแล้ว ทั้งนี้ วันเดียวกัน(5 ส.ค.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ได้ไต่สวนพยานจำเลยในคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ครั้งที่ 2 จำนวน 6 ปาก และหลังจากนี้จะเหลือวันนัดไต่สวนพยานจำเลยอีกแค่ 3 นัด คือวันที่ 15 ,19 และ 22 ส.ค. โดยกำหนดการเดิมนั้น ทนายจำเลยจะนำ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เข้าไต่สวนเป็นปากสุดท้ายในวันที่ 22 ส.ค. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานที่ขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศก่อนหน้านี้ ต้องกลับมารายงานตัวต่อศาลฎีกาฯ ในวันที่ 11 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม มีข่าวสะพัดว่า ทั้งสองอาจขอลี้ภัยในต่างประเทศ เนื่องจากสัปดาห์ก่อน คุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรม ถูกศาลอาญาสั่งจำคุกคนละ 3 ปีโดยไม่รอลงอาญาในคดีใช้อุบายหลีกเลี่ยงภาษีจากการโอนหุ้นให้กัน ซึ่งแม้คดีดังกล่าวจะอุทธรณ์และฎีกาต่อไปได้ เนื่องจากเป็นคดีในศาลอาญา แต่ในเร็วๆ นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ แล้ว ซึ่งหาก พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานถูกศาลฯ ตัดสินจำคุก จะต้องติดคุกทันที ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ นายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย หนีศาล ไม่ยอมมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีคลองด่าน เพราะกลัวถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้วจะต้องติดคุกทันที ทั้งนี้ ข่าวที่สะพัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานอาจลี้ภัย เกิดขึ้นเมื่อคุณหญิงพจมานและนายบรรณพจน์เดินทางออกจากเมืองไทยเพื่อไปประเทศจีนเมื่อวันที่ 5 ส.ค.โดยทั้งคู่นำกระเป๋าไปด้วยคนละ 9 ใบ แถมลูกๆ ที่ไปรอส่งคุณหญิงพจมานที่สนามบิน ต่างมีสีหน้าเศร้าสลดและร้องไห้ ทำให้หลายฝ่ายคาดว่า คุณหญิงพจมานอาจจะไม่เดินทางกลับมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 11 ส.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด วานนี้(8 ส.ค.)มีการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานได้จองตั๋วจากกรุงปักกิ่งเพื่อกลับประเทศไทยแล้วในวันที่ 10 ส.ค.นี้ โดยจะถึงสนามบินสุวรรณภูมิในเวลาประมาณ 21.45น. ด้านแหล่งข่าวใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ เผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานจะเข้ารายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ในวันที่ 11 ส.ค.และจะขอศาลเพื่อเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่า ต้องเดินทางไปอังกฤษเพื่อดูแลสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จะเปิดฤดูกาลในสัปดาห์หน้า ขณะที่สื่ออังกฤษ หนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน รายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณเตรียมขายหุ้นแมนฯ ซิตี้ทิ้ง หลังถูกศาลพิจารณาคดีคอร์รัปชั่นหลายคดีในเมืองไทยและคำร้องขอเงินที่ถูกอายัดไม่เป็นผล โดย พ.ต.ท.ทักษิณกำลังมองหาผู้ที่จะมาซื้อหุ้นแมนฯ ซิตี้ต่อจากเขาอยู่ อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีแผนขายแมนฯ ซิตี้แต่อย่างใด ส่วนความคืบหน้ากรณีทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณได้ยื่นโนติส(หนังสือแจ้งเตือน)ให้ธนาคารพาณิชย์ถอนการอายัดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ 6.9 หมื่นล้าน(ที่ คตส.อายัดไว้เพราะเป็นเงินที่ได้จากการขายหุ้นชินคอร์ป) เนื่องจาก คตส.หมดวาระแล้ว และ ป.ป.ช.ก็มีมติว่าไม่มีอำนาจอายัดหรือถอนอายัดเงินดังกล่าวนั้น ปรากฏว่า ธนาคารพาณิชย์ได้ทำหนังสือสอบถามแนวทางปฏิบัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แต่ ธปท.ยืนยันว่า ธปท.ไม่มีอำนาจในการสั่งให้ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินถอนอายัดเงินของครอบครัวชินวัตร และว่า ธนาคารพาณิชย์ต้องหารือกับหน่วยงานที่สั่งการให้อายัดเงินดังกล่าวเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ คตส.ได้เคยบอกว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้มีการถอนอายัดเงินดังกล่าว ต้องร้องขอต่อศาล อย่างไรก็ตาม ล่าสุด(8 ส.ค.) กรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชนเป็นประธาน ได้พยายามช่วย พ.ต.ท.ทักษิณด้วยการจี้ให้มีการถอนอายัดเงิน 6.9 หมื่นล้านดังกล่าว โดยทางกรรมาธิการฯ ได้เชิญให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย ,ปลัดกระทรวงการคลัง ,เลขาธิการ ป.ป.ช. ,นายกสมาคมธนาคารไทย ให้มาชี้แจงในวันที่ 13 ส.ค.นี้เกี่ยวกับการอายัดเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ทำไม พ.ต.ท.ทักษิณจะต้องฟ้องร้องพิสูจน์ทรัพย์เพื่อขอคืนทรัพย์สินดังกล่าว ทั้งๆ ที่ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณโดยชอบธรรม นายสุรพงษ์ ยังอ้างด้วยว่า “ที่ทำเช่นนี้ ไม่ใช่ต้องการช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ต้องการให้มีการปรับปรุงข้อกฎหมายที่มีช่องโหว่ หาก พ.ต.ท.ทักษิณฟ้องขึ้นมา ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ…”

“สมชาย” ปัด “แม้ว-อ้อ” ลี้ภัยเมืองจีน ยันกลับไทยสู้คดี 11 ส.ค.
จับพิรุธ “พจมาน” หอบ “พี่-เลขาฯ” สัมภาระเพียบลัดฟ้าสู่ “แดนมังกร”
ศาล รธน.ตีแสกหน้า “แม้ว” ชี้กม.ป.ป.ช.ไม่ขัด รธน. รับเชือด “หมัก” ชิมไปฯ

กำลังโหลดความคิดเห็น