ตลท.เชื่อต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนหุ้นไทย หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลดลง ขณะที่ พรบ. คุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้ 11 ส.ค.ส่งผลผู้ฝากเงินโยกเงินลงทุน ดันภาวะตลาดหุ้นไทยดีขึ้น ภัทรียา หนุน บล.เปิดสาขาในแบงก์
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับตัวลดลง เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากที่หุ้นไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดหุ้นอื่น และจากการที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากที่จะมีผลบังคับใช้ 11 ส.ค.นี้น่าจะทำให้ผู้ที่มีเงินออมกระจายความเสี่ยงโดยอาจโยกเงินบางส่วนมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น จึงน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยในอนาคตได้
สำหรับพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 สิงหาคมศกนี้ ซึ่งจะเริ่มทยอยลดการค้ำประกันเงินฝากสำหรับบัญชีที่มีเงินฝากจำนวนมาก จนกระทั่งปีที่ 5 จะค้ำประกันบัญชีเงินฝากทั้งจำนวนที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายต่อธนาคารเท่านั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ประชาชนผู้ฝากเงินทั่วไปสนใจและตื่นตัวในการจัดการด้านการเงินและการลงทุน
นอกจากนั้น ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระบบยังอยู่ในระดับต่ำ สวนทางกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูง ดัวยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนทั่วไปบางส่วนมองหาช่องทางในการสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการลงทุนในหลักทรัพย์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางหนึ่งได้รับความสนใจ โดยเฉพาะผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนหลักทรัพย์ซึ่งส่วนหนึ่งพิจารณาได้จากดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมองเห็นโอกาสที่ดีที่จะให้การสนับสนุนให้บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ เปิดให้มีการทำธุรกรรมผ่านสำนักงานสาขาของบริษัทที่ตั้งอยู่ในธนาคารพาณิชย์ เป็นหนึ่งในแผนการขยายฐานผู้ลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเป็นการทำงานร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ทั้งกับบริษัทหลักทรัพย์และธนาคาร เนื่องจากสามารถลดต้นทุนในการเปิดสาขาของบริษัทหลักทรัพย์ และยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของธนาคารได้โดยสะดวกยิ่งขึ้น ในขณะที่ลูกค้าของธนาคารก็จะได้รับความสะดวกในการทำธุรกรรมในตลาดทุนมากขึ้น
สำหรับ การเปิดสำนักงานสาขาของบริษัทหลักทรัพย์ในธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 3 บริษัท คือ บล.นครหลวงไทย จำกัด บล. ธนชาต จำกัด (มหาชน) และบล.เคทีบี จำกัด
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีการปรับตัวลดลง เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากที่หุ้นไทยมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดหุ้นอื่น และจากการที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากที่จะมีผลบังคับใช้ 11 ส.ค.นี้น่าจะทำให้ผู้ที่มีเงินออมกระจายความเสี่ยงโดยอาจโยกเงินบางส่วนมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น จึงน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยในอนาคตได้
สำหรับพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 สิงหาคมศกนี้ ซึ่งจะเริ่มทยอยลดการค้ำประกันเงินฝากสำหรับบัญชีที่มีเงินฝากจำนวนมาก จนกระทั่งปีที่ 5 จะค้ำประกันบัญชีเงินฝากทั้งจำนวนที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อรายต่อธนาคารเท่านั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ประชาชนผู้ฝากเงินทั่วไปสนใจและตื่นตัวในการจัดการด้านการเงินและการลงทุน
นอกจากนั้น ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระบบยังอยู่ในระดับต่ำ สวนทางกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในระดับสูง ดัวยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ประชาชนทั่วไปบางส่วนมองหาช่องทางในการสร้างผลตอบแทนให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการลงทุนในหลักทรัพย์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางหนึ่งได้รับความสนใจ โดยเฉพาะผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนหลักทรัพย์ซึ่งส่วนหนึ่งพิจารณาได้จากดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมองเห็นโอกาสที่ดีที่จะให้การสนับสนุนให้บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ เปิดให้มีการทำธุรกรรมผ่านสำนักงานสาขาของบริษัทที่ตั้งอยู่ในธนาคารพาณิชย์ เป็นหนึ่งในแผนการขยายฐานผู้ลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเป็นการทำงานร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ และธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ทั้งกับบริษัทหลักทรัพย์และธนาคาร เนื่องจากสามารถลดต้นทุนในการเปิดสาขาของบริษัทหลักทรัพย์ และยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าของธนาคารได้โดยสะดวกยิ่งขึ้น ในขณะที่ลูกค้าของธนาคารก็จะได้รับความสะดวกในการทำธุรกรรมในตลาดทุนมากขึ้น
สำหรับ การเปิดสำนักงานสาขาของบริษัทหลักทรัพย์ในธนาคารพาณิชย์ตั้งแต่ต้นปี 2550 จนถึงปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 3 บริษัท คือ บล.นครหลวงไทย จำกัด บล. ธนชาต จำกัด (มหาชน) และบล.เคทีบี จำกัด