เมืองไทยประกันภัยแถลงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 หลังควบกิจการกับภัทรฯ เผยเบี้ยประกันภัยรับเติบโต 25% สูงขึ้นกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ระบุเป็นผลต่อเนื่องจากการสร้างความเข้มแข็งในด้านช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม และเข้าถึงลูกค้าอย่างทั่วถึง
นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยว่า การดำเนินงานภายหลังการควบกิจการ ระหว่าง บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด และบริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน)หรือ PHA ซึ่งดำเนินกิจการภายใต้ชื่อ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)นั้น ผลการดำเนินงานรอบสิ้นสุด วันที่ 30 มิ.ย. 2551 มีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับสูงถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,719 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 428 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังการควบกิจการในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะผลประกอบการหลังการควบกิจการในรอบการดำเนินงานวันที่ 20-30 มิ.ย.2551 นั้น บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรวมประมาณ 115 ล้านบาท แต่สามารถรับรู้รายได้ได้เพียง 8.03 ล้านบาท เนื่องจากเงื่อนไขการบันทึกเงินสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ในช่วงการควบกิจการ ตามกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าสินไหมทดแทน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องมีการรับรู้เต็มจำนวน ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิ 44.14 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลทางเทคนิคในการคำนวณเบี้ยประกันภัยรับที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ที่กล่าวข้างต้น
นางนวลพรรณกล่าวอีกว่า หลังจากการควบกิจการบริษัทได้ปรับสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างสมดุล โดยสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับตรงรถยนต์คิดเป็น 50% เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยรับตรงประเภทอื่นๆ และสัดส่วนเบี้ยประกันภัยจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ เบี้ยประกันภัยรับตรงอัคคีภัยและทรัพย์สิน 30% เบี้ยประกันภัยรับตรงอุบัติเหตุส่วนบุคคล 11% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับตรงเบ็ดเตล็ดอื่นๆ และการประกันภัยทางทะเลรวมกัน 9%
นอกจากนี้ ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับตรงจากสถาบันการเงิน รวมทั้ง โครงการ Bancasurance 28% จากตัวแทนและนายหน้า 37% จากพันธมิตรทางธุรกิจรถยนต์และเช่าซื้อ 16% จากช่องทางการขายตรง 14% และจากช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้ง 5%
“ในส่วนความมั่นคงทางการเงินของบริษัทนั้นบริษัทมีความมั่นคงอย่างมาก โดยมีสัดส่วนการดำรงเงินกองทุนสูงกว่า 7 เท่าของยอดเงินกองทุนตามหลักเกณฑ์ใหม่ที่ คปภ. พิจารณาดำเนินการอยู่ ซึ่งคิดเป็น 1.5 เท่าของหลักเกณฑ์เดิม ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในการเติบโตของธุรกิจว่าจะสามารถมีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4,050 ล้านบาท”
นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เปิดเผยว่า การดำเนินงานภายหลังการควบกิจการ ระหว่าง บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด และบริษัท ภัทรประกันภัย จำกัด (มหาชน)หรือ PHA ซึ่งดำเนินกิจการภายใต้ชื่อ บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน)นั้น ผลการดำเนินงานรอบสิ้นสุด วันที่ 30 มิ.ย. 2551 มีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับสูงถึง 25% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 1,719 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 428 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังการควบกิจการในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะผลประกอบการหลังการควบกิจการในรอบการดำเนินงานวันที่ 20-30 มิ.ย.2551 นั้น บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรวมประมาณ 115 ล้านบาท แต่สามารถรับรู้รายได้ได้เพียง 8.03 ล้านบาท เนื่องจากเงื่อนไขการบันทึกเงินสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ในช่วงการควบกิจการ ตามกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้แก่ ค่าสินไหมทดแทน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ต้องมีการรับรู้เต็มจำนวน ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิ 44.14 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลทางเทคนิคในการคำนวณเบี้ยประกันภัยรับที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ที่กล่าวข้างต้น
นางนวลพรรณกล่าวอีกว่า หลังจากการควบกิจการบริษัทได้ปรับสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้อย่างสมดุล โดยสัดส่วนเบี้ยประกันภัยรับตรงรถยนต์คิดเป็น 50% เมื่อเทียบกับเบี้ยประกันภัยรับตรงประเภทอื่นๆ และสัดส่วนเบี้ยประกันภัยจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้แก่ เบี้ยประกันภัยรับตรงอัคคีภัยและทรัพย์สิน 30% เบี้ยประกันภัยรับตรงอุบัติเหตุส่วนบุคคล 11% โดยมีเบี้ยประกันภัยรับตรงเบ็ดเตล็ดอื่นๆ และการประกันภัยทางทะเลรวมกัน 9%
นอกจากนี้ ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับตรงจากสถาบันการเงิน รวมทั้ง โครงการ Bancasurance 28% จากตัวแทนและนายหน้า 37% จากพันธมิตรทางธุรกิจรถยนต์และเช่าซื้อ 16% จากช่องทางการขายตรง 14% และจากช่องทางเทเลมาร์เก็ตติ้ง 5%
“ในส่วนความมั่นคงทางการเงินของบริษัทนั้นบริษัทมีความมั่นคงอย่างมาก โดยมีสัดส่วนการดำรงเงินกองทุนสูงกว่า 7 เท่าของยอดเงินกองทุนตามหลักเกณฑ์ใหม่ที่ คปภ. พิจารณาดำเนินการอยู่ ซึ่งคิดเป็น 1.5 เท่าของหลักเกณฑ์เดิม ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในการเติบโตของธุรกิจว่าจะสามารถมีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 4,050 ล้านบาท”