"พิชิต" เผยต่างชาติมั่นใจพื้นฐานประเทศไทย ให้ความน่าสนใจลงทุนอยู่ในอันดับต้นๆ แต่ปัญหาการเมืองที่ยังวุ่นวายในขณะนี้เท่านั้นยังเป็นตัวฉุด ระบุหากประคองทุกอย่างให้กลับมาดีขึ้น โดยไม่เกิดความรุนแรง ระยะยาวดึงต่างชาติกลับมาลงทุนเหมือนเดิมได้ ส่วนปัญหาเงินเฟ้อ แนะใช้นโยบายการคลัง สร้างความสมดุลกับดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นไป ด้วยการส่งเสริมการผลิตและลดต้นทุน ส่วน 6 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลดีในแง่ของสังคมและผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจอยู่บ้าง
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ พบว่ายังมั่นในปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยอยู่ และยังอยู่ในความสนใจลงทุนในอันดับต้นๆ แต่ในขณะนี้ไทยยังอยู่ในช่วงของการมีปัญหาการเมืองในประเทศเท่านั้น จะส่งผลให้การลงทุนยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งหากปล่อยให้เวลาผ่านไปสักระยะแล้วทุกอย่างกลับมาดีขึ้น เชื่อว่าการลงทุนจากต่างชาติจะกลับมาเหมือนเดิม
ทั้งนี้ หลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นพิเศษ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวไม่ใช้การลงทุนทั่วไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลจากความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ช่วงหลังสหรัฐเองเริ่มเห็นการเติบโตกลับมาชัดเจนมากขึ้น หรืออาจจะชะลอตัวช้าลงทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งในปัจจุบันไทยเองมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี การส่งออกขายตัวได้ถึง 26-27% การจัดการค่าเงินก็อยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนั้น การใช้จ่ายภาครัฐก็เริ่มมีมาให้เห็นแล้วทั้งระยะสั้นและระยะยาว ความเชื่อมั่นภาคเอกชนก็เริ่มดีขึ้นเช่นกัน
"ที่ผ่านมา การลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มเห็นมากขึ้น พื้นฐานการลงทุนเองก็ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังการเลือกตั้ง มีแต่การเมืองในประเทศเท่านั้นที่ผันผวนอยู่ แต่ก็ต้องปรับตัวว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกัน ช่วงของการเปลี่ยนผ่านนี้ ต้องเป็นไปด้วยความราบรื่น และหากประคองไม่ให้เกิดความรุนแรงด้วยแล้ว ระยะยาวเชื่อว่าจะดีขึ้น"นายพิชิตกล่าว
สำหรับปัจจัยที่เป็นห่วงต่อมาคือเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ยังมองว่าประเทศในแถบเอเชียและประเทศไทยเอง ยังมีความน่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่ที่ผ่านมาหลายประเทศก็เริ่มมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาบ้างแล้ว โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็เป็นการปรับขึ้นตามคาดการณ์ ขณะเดียวกัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย ก็ถูกมองในเชิงบวกมากกว่า
ทั้งนี้ ในส่วนของอัตราดอกเบี้ย ไทย เมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว นโยบายทางการคลังเองก็จะต้องมีความเหมาะสมด้วย โดยการส่งเสริมการผลิตและลดต้นทุนการผลิต ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธปท. อีก 0.25% ในครั้งล่าสุดที่ผ่านมา เป็นการส่งสัญาณว่ารัฐบาลจะดูแลเงินเฟ้อเป็นอย่างดี ดังนั้น นักลงทุนไม่ต้องห่วงเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ดีมานด์ลดลงไป นอกจากนั้น ยังคลายความกังวลของประชาชนเกี่ยวเงินเฟ้อลงไปด้วย ใช้
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 6 มาตรการของรัฐบาลมองว่า มีผลดีในแง่ของสังคมและมีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศอยู่บ้าง โดยเพราะในแง่ของสังคม เพราะเป็นการช่วยเหลือคนที่มีรายได้ต่ำ เป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น จนส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นตามไป กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนค่อนข้างมาก ส่วนในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้น
ส่วนภาพรวมการลงทุนของประเทศเอเชีย ยังเป็นแหล่งลงทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ โดยเฉพาะประเทศจีนและประเทศอินเดียมีเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างสูงถึงแม้จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ นายพิชิตกล่าวว่า ทิศทางของการลงทุนหลังจากนี้ คงต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนที่สามารถป้องกันภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันได้ โดยสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ถือเป็นการลงทุนหนึ่งที่น่าสนใจทางหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ ทั้งนี้ จากการมีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ ส่วนใหญ่มองว่าปัญหาเรื่องของเงินเฟ้อจะเป็นปัญหาระยะยาวที่ยังไม่จบง่ายๆ เช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มว่าจะอยู่ระดับสูงต่อไป โดยมีปัจจัยมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยระยะสั้น แต่หากมองแนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาว ความต้องการสินค้าพื้นฐานเหล่านี้เพื่อพัฒนาพื้นฐานของประเทศจะยังคงมีอยู่ต่อไป โดยเฉพาะการบริโภคจากประเทศจีนและอินเดียที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
“ทั้งสองประเทศมีความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ค่อนข้างมาก เนื่องจากรัฐบาลเองมีความพยายามที่จะพัฒนาให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถูกลากขึ้นมาโดยความต้องการของทั้งสองประเทศไม่ใช่แค่ 10% เท่านั้นแต่สูงถึง 100% ดังนั้น ความต้องการสินค้าพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ รวมถึงการบริโภคในประเทศด้วย จึงน่าจะเป็นโอกาสการลงทุนในระยะยาว”นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์มีความสัมพันธ์กับการลงทุนพื้นฐาน เช่น หุ้นหรือตราสารหนี้ค่อนข้างน้อย ดังนั้น การกระจายการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย จึงถือเป็นช่องทางในการกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันสินค้าเหล่านี้ ยังมีความน่าสนใจในตัวของมันเอง และยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นด้วย ดังนั้น บริษัทจึงมีความสนใจจะต้องกองทุนรวมขึ้นมาเพื่อลงทุนในสินค้าที่ซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการหารือกับ AFET ในการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว ซึ่งรูปแบบของการระดมลงทุนในเบื้องต้น เงินลงทุนส่วนหนึ่งจากมาจากนักลงทุนสถาบันและส่วนหนึ่งจะเป็นการร่วมลงทุนจาก AFET เอง โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองทุนได้ภายในสิ้นปีนี้
**MFCกำไรไตรมาสสอง45.91 ล้าน**
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ถึงผลการดำเนินงานประกอบการ (รวมบริษัทย่อย) งวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 45.91 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.38 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.28 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.23 บาท ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 56.13 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.47 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 45.66 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.38 บาท
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ พบว่ายังมั่นในปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทยอยู่ และยังอยู่ในความสนใจลงทุนในอันดับต้นๆ แต่ในขณะนี้ไทยยังอยู่ในช่วงของการมีปัญหาการเมืองในประเทศเท่านั้น จะส่งผลให้การลงทุนยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งหากปล่อยให้เวลาผ่านไปสักระยะแล้วทุกอย่างกลับมาดีขึ้น เชื่อว่าการลงทุนจากต่างชาติจะกลับมาเหมือนเดิม
ทั้งนี้ หลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นพิเศษ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวไม่ใช้การลงทุนทั่วไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลจากความกังวลเกี่ยวกับการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ช่วงหลังสหรัฐเองเริ่มเห็นการเติบโตกลับมาชัดเจนมากขึ้น หรืออาจจะชะลอตัวช้าลงทำให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ซึ่งในปัจจุบันไทยเองมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี การส่งออกขายตัวได้ถึง 26-27% การจัดการค่าเงินก็อยู่ในระดับที่เหมาะสม นอกจากนั้น การใช้จ่ายภาครัฐก็เริ่มมีมาให้เห็นแล้วทั้งระยะสั้นและระยะยาว ความเชื่อมั่นภาคเอกชนก็เริ่มดีขึ้นเช่นกัน
"ที่ผ่านมา การลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มเห็นมากขึ้น พื้นฐานการลงทุนเองก็ปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังการเลือกตั้ง มีแต่การเมืองในประเทศเท่านั้นที่ผันผวนอยู่ แต่ก็ต้องปรับตัวว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ขณะเดียวกัน ช่วงของการเปลี่ยนผ่านนี้ ต้องเป็นไปด้วยความราบรื่น และหากประคองไม่ให้เกิดความรุนแรงด้วยแล้ว ระยะยาวเชื่อว่าจะดีขึ้น"นายพิชิตกล่าว
สำหรับปัจจัยที่เป็นห่วงต่อมาคือเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ยังมองว่าประเทศในแถบเอเชียและประเทศไทยเอง ยังมีความน่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ แต่ที่ผ่านมาหลายประเทศก็เริ่มมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาบ้างแล้ว โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็เป็นการปรับขึ้นตามคาดการณ์ ขณะเดียวกัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย ก็ถูกมองในเชิงบวกมากกว่า
ทั้งนี้ ในส่วนของอัตราดอกเบี้ย ไทย เมื่อมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว นโยบายทางการคลังเองก็จะต้องมีความเหมาะสมด้วย โดยการส่งเสริมการผลิตและลดต้นทุนการผลิต ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธปท. อีก 0.25% ในครั้งล่าสุดที่ผ่านมา เป็นการส่งสัญาณว่ารัฐบาลจะดูแลเงินเฟ้อเป็นอย่างดี ดังนั้น นักลงทุนไม่ต้องห่วงเงินเฟ้ออีกต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ดีมานด์ลดลงไป นอกจากนั้น ยังคลายความกังวลของประชาชนเกี่ยวเงินเฟ้อลงไปด้วย ใช้
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 6 มาตรการของรัฐบาลมองว่า มีผลดีในแง่ของสังคมและมีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศอยู่บ้าง โดยเพราะในแง่ของสังคม เพราะเป็นการช่วยเหลือคนที่มีรายได้ต่ำ เป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น จนส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นตามไป กระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนค่อนข้างมาก ส่วนในแง่ของการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็จะมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่จะเพิ่มขึ้น
ส่วนภาพรวมการลงทุนของประเทศเอเชีย ยังเป็นแหล่งลงทุนที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยพื้นฐานยังดีอยู่ โดยเฉพาะประเทศจีนและประเทศอินเดียมีเศรษฐกิจเติบโตค่อนข้างสูงถึงแม้จะต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ นายพิชิตกล่าวว่า ทิศทางของการลงทุนหลังจากนี้ คงต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนที่สามารถป้องกันภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบันได้ โดยสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ถือเป็นการลงทุนหนึ่งที่น่าสนใจทางหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ ทั้งนี้ จากการมีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติ ส่วนใหญ่มองว่าปัญหาเรื่องของเงินเฟ้อจะเป็นปัญหาระยะยาวที่ยังไม่จบง่ายๆ เช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มว่าจะอยู่ระดับสูงต่อไป โดยมีปัจจัยมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยระยะสั้น แต่หากมองแนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาว ความต้องการสินค้าพื้นฐานเหล่านี้เพื่อพัฒนาพื้นฐานของประเทศจะยังคงมีอยู่ต่อไป โดยเฉพาะการบริโภคจากประเทศจีนและอินเดียที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
“ทั้งสองประเทศมีความต้องการสินค้าโภคภัณฑ์ค่อนข้างมาก เนื่องจากรัฐบาลเองมีความพยายามที่จะพัฒนาให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถูกลากขึ้นมาโดยความต้องการของทั้งสองประเทศไม่ใช่แค่ 10% เท่านั้นแต่สูงถึง 100% ดังนั้น ความต้องการสินค้าพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ รวมถึงการบริโภคในประเทศด้วย จึงน่าจะเป็นโอกาสการลงทุนในระยะยาว”นายพิชิตกล่าว
นายพิชิตกล่าวว่า การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์มีความสัมพันธ์กับการลงทุนพื้นฐาน เช่น หุ้นหรือตราสารหนี้ค่อนข้างน้อย ดังนั้น การกระจายการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ด้วย จึงถือเป็นช่องทางในการกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันสินค้าเหล่านี้ ยังมีความน่าสนใจในตัวของมันเอง และยังมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้นด้วย ดังนั้น บริษัทจึงมีความสนใจจะต้องกองทุนรวมขึ้นมาเพื่อลงทุนในสินค้าที่ซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการหารือกับ AFET ในการจัดตั้งกองทุนดังกล่าว ซึ่งรูปแบบของการระดมลงทุนในเบื้องต้น เงินลงทุนส่วนหนึ่งจากมาจากนักลงทุนสถาบันและส่วนหนึ่งจะเป็นการร่วมลงทุนจาก AFET เอง โดยคาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองทุนได้ภายในสิ้นปีนี้
**MFCกำไรไตรมาสสอง45.91 ล้าน**
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ถึงผลการดำเนินงานประกอบการ (รวมบริษัทย่อย) งวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 45.91 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.38 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.28 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.23 บาท ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือน บริษัทมีกำไรสุทธิ 56.13 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.47 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 45.66 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.38 บาท