นักลงทุนแห่ขายหุ้นเก็งกำไรกดดันตลาดหุ้นไทยซบเซา วอลุ่มบางเฉียบแค่ 1.1 หมื่นล้านบาท ด้าน บล.ไซรัส เชื่อนักลงทุนต่างชาติหยุดทิ้งหุ้น หากดัชนีลดถึงระดับ 650 จุด แต่เตือนให้จับตาคดีทางการเมืองในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ พร้อมคาดการณ์เงินเฟ้อทั่วไปทำสถิติสูงสุดในเดือน ส.ค.นี้ที่ 13% แนะลงทุน 5 หุ้น ชนะเงินเฟ้อ
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (22 ก.ค.) นักลงทุนได้เทขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไรหลังจากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดตลาดในภาคเช้า โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 694.90 จุด ก่อนจะปิดที่จุดต่ำสุด 682.15 จุด ปรับตัวลดลง 5.15 จุด หรือลดลง 0.75% มูลค่าการซื้อขาย 11,243.61 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 512.39 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 604.10 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 91.71 ล้านบาท
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัทคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะมีการชะลอการขายหุ้นไทยออกมา หากดัชนีอยู่ที่ระดับ 650 จุด เพราะจากการประเมินการซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2548-2550) อยู่ที่ 183,735 ล้านบาท มีต้นทุนดัชนีรวมกับประโยชน์จากค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 649.17 จุด
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติคงจะไม่ขายหุ้นออกมาในระดับดัชนีที่ขาดทุน และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาจากช่วงสูงสุดในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 25% และปรับตัวลดลง 21% จากต้นปี ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงมามากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยจากการที่ดัชนีปรับตัวลดลงมามากและราคาหุ้นไทยถูกมีค่า P/E เพียง 10 เท่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค
สำหรับผลกระทบจากราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้น แม้ว่าจะส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท แต่ในปีนี้บริษัทจดทะเบียนน่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่ระดับ 13.8% ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นในแถบเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะมีการเลือกซื้อลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
นางสาวจิตรา กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนควรที่จะระมัดระวังในการลงทุนในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองจะมีผลกระทบการลงทุน เพราะจะมีการพิจารณาคดีการเมืองหลายคดี ทั้งคดีของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี 2-3 คดี แต่ที่บริษัทมีความกังวลในเรื่องคดีของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่จะส่งผลต่อไปจนมีการยุบพรรคพลังประชาชน
“การยุบสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของของรัฐบาล เพื่อลดความรุนแรงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เพราะการเมืองไทยถือว่ามีความอ่อนแอ คือ ประชาชน 20,000 คน สามารถลงชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ และศาลมีอำนาจถอดถอนรัฐบาลเช่นกัน ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลสมัยต่อไป
สำหรับบริษัทคาดเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะสูงสุดในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 13% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาอาหารมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานอยู่ที่ 5% ซึ่งสูงกว่ากรอบของธนาคารแห่งประเทศไทยที่วางไว้ที่ 0-3.5% ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้อีก 0.25% จากการประชุมที่จะมีขึ้นในอีกนี้อีก 3 ครั้ง เพื่อเป็นลดการคาดการณ์ที่กังวลเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และช่วยให้ประชาชนมีการลดใช้น้ำมัน ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำลงทุนใน 5 หลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ คือ บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมาหลังจากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 จุด จากจุดต่ำสุดปีนี้ (18 ก.ค.) ต่อเนื่องจากวันจันทร์ที่ผ่านมาที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 27 จุด แต่ดัชนีปรับตัวลดลงไม่มาก เพราะนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูมาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะการที่กระทรวงการคลังที่จะมีการปรับลดภาษีนิติบุคคล ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเบาบางเหลือ 1.1 หมื่นล้านบาท จากวันจันทร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (23 ก.ค.) ต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 680 จุด ได้มีการโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวต่อที่ระดับ 695 จุด ได้ ก็จะมีแรงขายออกมาระยะสั้น
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (22 ก.ค.) นักลงทุนได้เทขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไรหลังจากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดตลาดในภาคเช้า โดยดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 694.90 จุด ก่อนจะปิดที่จุดต่ำสุด 682.15 จุด ปรับตัวลดลง 5.15 จุด หรือลดลง 0.75% มูลค่าการซื้อขาย 11,243.61 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 512.39 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 604.10 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 91.71 ล้านบาท
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS เปิดเผยถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัทคาดว่านักลงทุนต่างชาติจะมีการชะลอการขายหุ้นไทยออกมา หากดัชนีอยู่ที่ระดับ 650 จุด เพราะจากการประเมินการซื้อสุทธิสะสมของนักลงทุนต่างชาติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2548-2550) อยู่ที่ 183,735 ล้านบาท มีต้นทุนดัชนีรวมกับประโยชน์จากค่าเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 649.17 จุด
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติคงจะไม่ขายหุ้นออกมาในระดับดัชนีที่ขาดทุน และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาจากช่วงสูงสุดในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ 25% และปรับตัวลดลง 21% จากต้นปี ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงมามากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยจากการที่ดัชนีปรับตัวลดลงมามากและราคาหุ้นไทยถูกมีค่า P/E เพียง 10 เท่า เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นภูมิภาค
สำหรับผลกระทบจากราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้น แม้ว่าจะส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานของบริษัท แต่ในปีนี้บริษัทจดทะเบียนน่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิที่ระดับ 13.8% ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นในแถบเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะมีการเลือกซื้อลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
นางสาวจิตรา กล่าวเพิ่มเติมว่า นักลงทุนควรที่จะระมัดระวังในการลงทุนในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน เนื่องจากปัจจัยทางการเมืองจะมีผลกระทบการลงทุน เพราะจะมีการพิจารณาคดีการเมืองหลายคดี ทั้งคดีของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี 2-3 คดี แต่ที่บริษัทมีความกังวลในเรื่องคดีของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่จะส่งผลต่อไปจนมีการยุบพรรคพลังประชาชน
“การยุบสภาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดของของรัฐบาล เพื่อลดความรุนแรงของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมือง เพราะการเมืองไทยถือว่ามีความอ่อนแอ คือ ประชาชน 20,000 คน สามารถลงชื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ และศาลมีอำนาจถอดถอนรัฐบาลเช่นกัน ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลสมัยต่อไป
สำหรับบริษัทคาดเงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะสูงสุดในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 13% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาอาหารมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานอยู่ที่ 5% ซึ่งสูงกว่ากรอบของธนาคารแห่งประเทศไทยที่วางไว้ที่ 0-3.5% ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้อีก 0.25% จากการประชุมที่จะมีขึ้นในอีกนี้อีก 3 ครั้ง เพื่อเป็นลดการคาดการณ์ที่กังวลเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และช่วยให้ประชาชนมีการลดใช้น้ำมัน ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทแนะนำลงทุนใน 5 หลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินเฟ้อ คือ บริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TSTH บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมาหลังจากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 จุด จากจุดต่ำสุดปีนี้ (18 ก.ค.) ต่อเนื่องจากวันจันทร์ที่ผ่านมาที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมา 27 จุด แต่ดัชนีปรับตัวลดลงไม่มาก เพราะนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูมาตรการของรัฐบาล โดยเฉพาะการที่กระทรวงการคลังที่จะมีการปรับลดภาษีนิติบุคคล ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเบาบางเหลือ 1.1 หมื่นล้านบาท จากวันจันทร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ (23 ก.ค.) ต้องติดตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาล ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 680 จุด ได้มีการโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวต่อที่ระดับ 695 จุด ได้ ก็จะมีแรงขายออกมาระยะสั้น