xs
xsm
sm
md
lg

หวั่นปัจจัยลบฉุดอสังหาฯวูบ บิ๊กธอส.แนะปรับตัวรับความเสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธอส.หวั่นปัจจัยลบกระหน่ำเศรษฐกิจ น้ำมันแพง-เงินเฟ้อพุ่ง-ต้นทุนค่าก่อสร้างเพิ่ม 20% ฉุดตลาดอสังหาฯวูบตาม “ขรรค์ ประจวบเหมาะ” ระบุปีแห่งความท้าทายแนะผู้บริโภค-ผู้ประกอบการ ปรับตัวรับความเสี่ยง คาดทั้งปีปล่อยกู้ไม่ถึงเป้า 9.5 หมื่นล้าน ส่วนหนึ่งกคช.ส่งลูกค้าบ้านเอื้ออาทรแค่หมื่นล้าน จากเป้า 20,000 ล้านบาทเหตุโครงการไม่เป็นที่นิยม-ลูกค้ากู้ไม่ผ่าน

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวถึงภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2551 ว่า ราคาน้ำมัน ภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ภาวะขาดแคลนแรงงาน ส่งผลกดดันภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้กระทบต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยเพื่อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค โดยในครึ่งปีหลังทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการต้องปรับตัวลดภาวะความเสี่ยง ชะลอโครงการใหม่และเร่งรัดโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่ให้เสร็จ เพื่อให้ทันมาตรการทางภาษี อย่างไรก็ตามการชะลอพัฒนาโครงการใหม่อาจช่วยทำให้ตลาดในภาพรวมลดความร้อนแรงลงและอาจเป็นผลดีในระยะยาว

สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีหลังได้รับปัจจัยบวกต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 29 มีนาคม 2551- สิ้นมีนาคม 2552 และแม้ว่าต้นทุนค่าก่อสร้างได้ปรับเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในภูมิภาคเดียวกัน เช่น ฮ่องกง, สิงคโปร์, มาเลเซีย, เวียดนาม ราคาอสังหาฯไทยยังถือว่าถูกกว่ามาก

นอกจากนี้การแข่งขันที่รุนแรงในการปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำของสถาบันการเงิน เพื่อดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการยังเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยบวก โดยในไตรมาสแรกปี 2551 ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยมีมูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2550 และปี 2549 ที่สามารถปล่อยได้ประมาณ 59,000-60,000 ล้านบาท ทั้งนี้ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการชะลอการขอและอนุมัติสินเชื่อในช่วงเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลประกาศมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ

อย่างไรก็ตามยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ได้กลับมาเพิ่มสูงอีกครั้งในไตรมาสสอง แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นทำให้ประชาชนชะลอการตัดสินใจซื้ออกไปอีก ทั้งนี้คาดว่ายอดการปล่อยสินเชื่อทั้งปีอาจไม่สูงไปกว่าปีที่แล้วหรือประมาณ 270,000 ล้านบาท หากอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น

ส่วนปัจจัยลบนั้นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าจะเพิ่มไปถึง 200 เหรียญสหรัฐ/บาเรล ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้หุ้นตกเกือบทั่วโลก ตามมาด้วยภาวะเงินเฟ้อที่หลายประเทศอยู่ในภาวะวิกฤต ซึ่งภาวะเหล่านี้เริ่มขยับเข้าใกล้ไทยมาทุกขณะและคาดว่าอีกไม่นานไทยจะได้รับผลกระทบดังกล่าว ส่วนในขณะนี้เงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับ 7.6 ส่วนหนึ่งได้ปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทแข็งค่า หากค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อใดเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่านี้มาก

“ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายมากในทุกธุรกิจ ทั้งเศรษฐกิจโดยรวม ธนาคารและภาคอสังหาฯ ที่ต้องได้รับผลกระทบทุกคน เราเห็นสัญญาณชัดเจนไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ ไทยหนีไม่พ้น”

นอกจากนี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยยังส่งสัญญาณว่า ดอกเบี้ยจะต้องปรับเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่สามารถระบุได้ แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.25% และทั้งปีคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.50-0.75% ส่วนกระทรวงพาณิชย์ได้ยกเลิกการควบคุมราคาสินค้าหลายรายหลายการ ซึ่งจะกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดภาคอสังหาฯ คือราคาวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นจนน่าเป็นห่วง บางชนิดเพิ่มขึ้นเกือบ 100% ส่งผลให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 20% และคาดว่าในครึ่งปีหลังจะต้องปรับเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ผู้ประกอบการหลายรายไม่กล้าตั้งราคาขายสินค้า เนื่องจากเกรงว่าจะขาดทุนในภายหลังได้ ประกอบกับภาวะขาดแคลนแรงงาน วิกฤตซัพไพรม์ยังแก้ไม่เสร็จสิ้น ธนาคารทั่วโลกต้องเพิ่มทุนจำนวนมาก ซึ่งธนาคารไทยเองคาดว่าจะประสบปัญหาเช่นเดียวกัน

“ภาวะตลาดโดยรวมไม่ดี อาจส่งผลให้ธอส.ปล่อยกู้ไม่ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดคือ 95,000 ล้านบาท โดยอาจปล่อยได้เพียง 94,000 ล้านบาท ทั้งนี้ส่วนหนึ่งมาจากสินเชื่อที่ปล่อยให้โครงการบ้านเอื้ออาทร จากเดิมต้นปีการเคหะแห่งชาติแสดงความจำนงส่งลูกค้าเงินกู้ให้ประมาณ 20,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้เหลือประมาณ 10,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งน่าจะมาจากบ้านเอื้ออาทรหลายโครงการไม่ประสบความสำเร็จประชาชนไม่สนใจที่จะซื้อ นอกจากนี้ลูกค้าบางส่วนกู้ไม่ผ่านทำให้ธอส.ปล่อยเงินกู้ได้น้อย” นายขรรค์กล่าว

นายขรรค์ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การเมือง จะส่งผลให้ประชาชนชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านและชะลอการกู้เงิน เพื่อรอดูความชัดเจน นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์หนี้ที่ลดลงจะส่งผลให้ ลูกหนี้จำนวนมากรีไฟแนนซ์หนี้ไปยังธนาคารที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น