ช่วงนี้ผมขอถอดหมวกนักธุรกิจ แต่สวมหมวกฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย อดีตนักกิจกรรม นายกสโมสรนิสิต จุฬาฯ ปี 2527 ด้วยความรักและห่วงใยในบ้านเมืองจริงๆ ครับระยะนี้ ผมดีใจระดับหนึ่งได้เห็นพัฒนาการทางการเมือง และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของบ้านเรา หลายประการ ดังนี้ครับ
1.ระบบรัฐสภา ได้ทำหน้าที่ของตนตามรัฐธรรมนูญ สส. เสียงส่วนใหญ่ เป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล สส. เสียงส่วนน้อย ได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายตรวจสอบ หลังจากที่เราอยู่ในกติกาตามระบอบประชาธิปไตย แต่ผู้มีอำนาจ กลับไม่เคารพบทบาทตามระบอบประชาธปไตย เมื่อมีรายการส่อทุจริต และฝ่ายค้านยื่นตรวจสอบ กลับยุบสภาหนีการตรวจสอบไปการยุบสภา มีไว้เป็นอำนาจในการตอบโต้ เฉพาะกรณีสภาผู้แทนราษฎรทำงานโดยไร้เหตุผล ไม่ใช่ใครคิดจะใช้อำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์ส่วนตนมากมาย แต่เมื่อกลไกตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตยจะทำงาน ก็กลับยุบสภาทิ้ง เพราะแน่ใจว่า ทรัพยากรที่ได้มา มีเหลือเฟือพอเพียงที่จะทำให้ได้อำนาจกลับเข้ามาใหม่ เป็นความคิดที่ไม่สร้างสรรค์ คนไทยทุกคนแพ้ เพราะเสียทั้งงบประมาณในการจัดเลือกตั้ง เสียทั้งเวลาเริ่มต้นใหม่ เพียงเพื่อจะปกปิดเรื่องราวของผู้มีอำนาจ ไม่ให้รู้ข้อมูลเท่าเทียมกันวิธีที่ดีที่สุด ในการจัดการกับข้อสงสัยเรื่อง "โกงชาติ" ก็คือการเอาหลักฐานมาโต้แย้งกัน
เราชาวไทยทุกคน ย่อมให้เกียรติผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เราจึงภาวนาเอาใจช่วย ให้ผู้ใหญ่ในอดีตที่ต้องสงสัย พร้อมที่จะปฏิบัติอย่าง ลูกผู้ชาย (และลูกแม่ด้วย) อาจหาญ เปิดเผย และอยากเห็นข้อสงสัยนั้นตกไปด้วยหลักฐานและเหตุผล ประชาชนจะได้รักษาศรัทธาต่อท่านได้สิ่งที่น่าเสียใจคือโอกาสที่จะทำให้เกิดความโปร่งใสได้ผ่านพ้นไป แล้วหากจะถือว่า GAME OVER ไปแล้ว จบที่ยุบสภาตั้งแต่ก่อนการอภิปรายใดๆ เมื่อเริ่มสภาที่มาจากเลือกตั้งรอบใหม่ ก็ต้องอภิปรายเฉพาะรอบรัฐบาลใหม่เท่านั้น ผมว่ามันขาดความสง่างาม ทำให้ประชาชนอึดอัด เสียใจ และมาตรฐานคุณธรรมในบ้านเมืองต้องตกต่ำลง
แม้เกมส์ที่ไม่ชอบธรรมยังมีอยู่บ้าง เช่นการประท้วงขัดขวาง ฝ่ายค้านที่จะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยได้ชี้ประเด็นว่า มีหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำความผิดต่อกฎ กลต. ในการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น ของกิจการของอดีตผู้นำ โดยวินมาร์คและพวก เป็นการผิดกฎหมายอาญา ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดถึงข้อมูลผู้ถือหุ้น และระดับอำนาจการควบคุมบริษัท
นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานว่า เลขที่บัญชีของวินมาร์ค คือ 121751 เป็นผู้ถือหุ้น "S (ย่อ)" ที่ขายให้เทมาเส็กอีกด้วย ซึ่งเฉพาะจุดนี้ก็**พิสูจน์ว่าอดีตผู้นำทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ห้ามรัฐมนตรีมีหุ้น โดยเฉพาะกิจการสัมปทานผูกขาดจากภาครัฐ อันอาจทำให้มีการเอื้อประโยชน์แก่กิจการของตน
**แต่จากข่าวคราวที่ปรากฏ และคำอภิปรายของฝ่ายค้าน ยังมีข้อสงสัย กรณีบุตรได้รับโอนหุ้นจากบิดามารดาโดยอ้างมูลค่าตามราคาพาร์ ที่ประมาณ 733.95 ล้านบาทในวันที่ 1 กันยายน 2543 นั้น เพียง 1 วันก่อนการโอนหุ้นนั้น ในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 กลับมีการทำตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งบุตรค้างมารดา อีกเป็นมูลค่าถึง 4,500 ล้านบาท ทำให้เป็นข้อสงสัยว่า เป็นการให้กู้ยืมค่าอะไร หรือเป็นเพียงหลักฐานเพื่อล็อคหุ้น ก็อาจแสดงว่า ไม่มีการโอนหุ้นกันจริง ซึ่งหมายความว่า บิดามารดายังเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริง ซึ่งหากติดตามกรณีอื่นๆ ก็อาจพบความจริงมากกว่านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ **(1) ความผิดในการเปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์ กลต. (2) ความผิดตาม พรบ. ปปช. เรื่องการห้ามรัฐมนตรีมีหุ้นกิจการสัมปทาน (แม้แต่ 1 หุ้น) (3) ความผิดตามรัฐธรรมนูญ ห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 (4) การปลอมแปลงเอกสารราชการ เพื่อแอบอ้างการถือหุ้นแทนกัน** ฯลฯ
ประเด็นเหล่านี้ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะทำความกระจ่างให้กับประชาชนว่า** รัฐบาลกำลังทำหน้าที่เพื่อประชาชน ไม่ใช่เพียงเพื่อปกป้องพวกพ้องที่กำลังถูกพิสูจน์การกระทำความผิด**แม้จะมีการประท้วงเพื่อขัดขวางความจริงไม่ให้ปรากฏต่อสภาผู้แทนราษฎร และต่อประชาชนผู้ติดตาม มากเกินควร แต่ก็ยังขอขอบคุณรัฐบาล ที่ยังเปิดให้เรื่องนี้ได้ผ่านเข้าไปในสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่ขอให้ภาครัฐได้มีความจริงจังในเรื่องนี้ ทั้งนี้ ** ไม่ได้แปลว่าจะหวังว่า จะต้องเป็นผลเสียกับใคร แต่หวังให้ "ความจริง" กระจ่าง และกระบวนการยุติธรรมจะได้ทำงานไปด้วยความถูกต้อง โปร่งใส เป็นที่ศรัทธาของปวงชนต่อไป**
2.ผมต้องชมว่าเท่าที่ได้ดู ทั้ง 2 ฝ่ายได้พยายามใช้ข้อมูลหลักฐานมาแสดง และมาหักล้างกัน มีท่าทีที่ดูถูกประชาชนน้อยลง ไม่ใช้แต่เพียงอำนาจข่มเหงประชาชนผู้กำลังติดตามและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลของเราร่วมกัน
3.ด้านสถาบันยุติธรรม ได้สร้างสิ่งที่ชาวไทยควรสรรเสริญ คือ**ความกล้าที่จะเอาจริง กับกรณีกล่องขนมบรรจุเงิน 2 ล้านบาท ที่เกี่ยวโยงกับคดีที่ดินรัชดาฯของอดีตผู้นำ ทั้งแสดงถึงความสง่างาม ที่ไม่ยอมทุจริตในหน้าที่ ยอมยืนตรงรักษาความถูกต้องชอบธรรม ต้านอำนาจที่มีสูงต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล**
ผมว่า เรื่องเช่นนี้ ไม่ควรถือเป็นเรื่องธรรมดา **ใครก็ตามที่หาเงินเช่นนี้ ทำงานเพื่อให้ได้อำนาจ ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ส่วนตัว เมื่อจะทำผิดกฎหมาย ก็จัดหากระบวนการหาทางทำให้ฟอกเรื่องดำให้เป็นเรื่องขาว ถือได้ว่า เป็นผู้ที่น่าสะพรึงกลัว เป็นภัยที่คุกคามแผ่นดิน**
ผมยังภาวนาขอให้คนไทย รู้รักสามัคคี ไม่ยอมรับความแตกแยก เชื่อทางสว่าง ส่งเสริมความดี ให้กำลังใจรัฐบาลในการบริหารบ้านเมืองอย่างสุจริต ให้กลไกตามระบอบประชาธิปไตยได้ทำงาน ไม่ฟอกเรื่องดำให้เป็นขาว ทำทุกอย่างให้กระจ่างด้วยหลักฐานและเหตุผล บ้านเมืองก็จะไม่เข้าสู่วิกฤต เศรษฐกิจจึงจะดีต่อไปได้ในระยะยาวครับ
มนตรี ศรไพศาล
ฝ่ายวิชาการ ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย (montree4life@yahoo.com)