ธปท.เตือนสถาบันการเงินระวัง NPL ครึ่งปีหลัง ส่อเค้ารับผลกระทบ ศก.ชะลอตัว พร้อมส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้น ชี้แนวโน้มนโยบายการเงินครึ่งปีหลัง ธปท.จะเน้นดูแลเงินเฟ้อเป็นหลัก
วันนี้ (27 มิ.ย.) นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอลง ซึ่งจะส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อและสินทรัพย์เริ่มมีความน่าเป็นห่วงและต้องให้ความดูแลมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าสถาบันการเงินในปัจจุบันจะปรับตัวได้
นโยบายการเงินครึ่งปีหลังของธปท.จะเป็นทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากนโยบายการเงินครึ่งปีหลังจะให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อเป็นหลัก ซึ่งเงินเฟ้อมีความจำเป็นจะต้องมีแนวโน้มที่ลดลงเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถวางแผนในระยะยาวได้ รวมถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจเติบโตต่อไปได้ และมองว่าในครึ่งปีหลังประเทศต่างๆ ในโลกจะให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้นมาก
สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ นายบัณฑิต เชื่อว่าหากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังก็จะไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังสามารถแข่งขันและปรับตัวได้ดี ซึ่งในครึ่งปีแรกก็สามารถปรับตัวได้กับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยไตรมาสแรกเศรษฐกิจขยายตัวไปแล้ว 6%อ
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมั้นที่สูงขึ้นในขณะนี้ถือว่าส่งผลกระทบต่อประเทศไทย 3 ด้าน ได้แก่ 1. ทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น 2. ค่าใช้จ่ายในการนำเข้ามากขึ้น เนื่องจากมีการนำเข้าน้ำมันซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลหรือเกินดุลน้อยลง และ 3. ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและจะทำให้มีข้อจำกัดในการส่งออก รวมถึงส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นายบณฑิต กล่าวอีกว่า แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งปีหลังจะให้ความสำคัญกับการดูแลปัญหาเงินเฟ้อเป็นหลัก เนื่องจากคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้น และช่วงต่อไปอัตราดอกเบี้ยก็จะเป็นขาขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้
"ดอกเบี้ยต่อไปจะเป็นขาขึ้น เพราะเงินเฟ้อไทยมันก็ขาขึ้นด้วย ดังนั้นนโยบายการเงินครึ่งปีหลังต้องดูแลเรื่องนี้ ตอนนี้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งพอจะรองรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ ขณะเดียวกันพื้นฐานการเงินการคลัง หนี้ต่างประเทศ และการปรับตัวของประชาชนก็สามารถรับตรงนี้ได้"นายบัณฑิต กล่าวในการสัมมนา"วิกฤติน้ำมันกับทิศทางเศรษฐกิจไทย"
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งต่อไปในเดือน ก.ค.จะมีการประเมินภาพเศรษฐกิจใหม่ หลังจากราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงไปมากจากช่วงต้นปี 51 ซึ่งมีผลต่อภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น เศรษฐกิจโลกก็คาดว่าจะชะลอตัวครึ่งปีหลัง จากปัญหาราคาน้ำมัน อัตรเงินเฟ้อของโลกและของไทยในครึ่งปีหลังก็จะสูงขึ้นด้วย จุดนี้เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไป
นายบัณฑิต กล่าวว่า ปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมากเป็นปัญหาสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดความกังวลว่าเมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น จะส่งผลต่อดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ขณะเดียวกันการผลักดันการขยายตัวของเศรษฐกิจก็จะต้องมีความระมัดระวังเพราะจะทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวสูงขึ้น และจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงขึ้น ดังนั้น จะต้องทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างเหมาะสม แต่ก็มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตเงินเฟ้อต้องลดลงเพื่อเป็นพื้นฐานให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้ หากธปท.ดูแลเงินฟ้อไม่ได้ก็จะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
นายบัณฑิต ยังกล่าวฝากไปยังธนาคารพาณิชย์ว่า ภาวะแวดล้อมในการทำธุรกิจธนาคารช่วงครึ่งปีหลังมีความท้าทายมากขึ้น โดยเฉพาะการขยายตัวของสินเชื่อและการรักษาคุณภาพสินเชื่อที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อจะไม่ทำให้หนี้เสีย (NPL)เร่งตัวขึ้น เพราะปัจจัยต่างๆ ไม่ได้เอื้อเหมือนครึ่งปีแรก โดยเฉพาะปัญหา NPL ต้องดูให้ดี แต่โดยรวมก็เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ยังปรับตัวได้ และจะมีส่วนสำคัญที่จะสนับบสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป