UKEM ปลื้มต่างชาติอีก 3 รายสนใจเป็นพันธมิตรตั้งโรงงานผลิตโซลเว้นท์มูลค่า 300 ล้านบาท มั่นใจได้ข้อสรุปไตรมาส 3 นี้ เล็งปรับเป้ายอดขายเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2.7 พันล้านบาท หากผลประกอบการไตรมาส 2/2551 ออกมาดี เนื่องจากปรับขึ้นราคาขายโซลเว้นท์ 10-15% และครึ่งปีหลังขยับขึ้น 3-5% และหันมาทำตลาดส่งออก
นายพีรเจต สุวรรณนภาศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน)(UKEM) เปิดเผยความคืบหน้าในการหาพันธมิตรในการก่อสร้างโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์สารละลาย(โซลเว้นท์) ว่าขณะนี้ได้มีบริษัทต่างชาติอีก 3 รายทั้งจีนและเกาหลี สนใจที่จะเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการผลิตสารเอทิล อะซิเตรด(EAC) และบิวทิว อะซิเตรด (BAC) โดยได้เสนอวัตถุดิบและแหล่งเงินทุน ดังนั้นบริษัทฯคงต้องพิจารณาคัดเลือกพันธมิตรใหม่อย่างรอบคอบ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3/2551 เลื่อนจากเดิมที่เคยตั้งเป้าหมายจะหาพันธมิตรใหม่ให้แล้วเสร็จในไตรมาสนี้
" เดิมบริษัทได้มีการเจรจากับพันธมิตรหลายราย ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ จนมีการคัดเลือกเหลือเพียง 2 ราย แต่ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้มี 3บ ริษัทที่สนใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตร ทำให้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากบริษัทฯไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตโซลเว้นท์ นอกจากนี้ เชื่อว่าราคาเหล็กและสแตนเลสน่าจะปรับตัวลงหลังพ้นโอลิมปิคที่ปักกิ่ง จึงน่าจะเป็นจังหวะเหมาะในการตัดสินใจ ทำให้ต้นทุนก่อสร้างลดลง "
การตัดสินใจจะลงทุนตั้งโรงงานผลิตโซลเว้นท์ดังกล่าว เนื่องจากเป็นเคมีภัณฑ์ที่ยังไม่มีการผลิตในประเทศ โดยแต่ละปีไทยมีความต้องใช้ถึงปีละ 5 หมื่นตันใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบ ซึ่งเดิมบริษัทมีแผนจะลงทุนแบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรก จะผลิต 3 หมื่นตันและเฟส 2 อีก 2 หมื่นตัน แต่ทั้งนี้อาจปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับการเจรจาพันธมิตรใหม่ คาดว่าใช้เวลาก่อสร้าง 1 ปีครึ่ง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท สำหรับพื้นที่ตั้งโรงงานนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะตั้งที่จ.ฉะเชิงเทรา หรือปราจีนบุรี
นายพีรเจต กล่าวต่อไปว่า ราคาโซลเว้นท์ในตลาดโลกได้ปรับเพิ่มขึ้น หลังจากผู้ผลิตในต่างประเทศ ระบุว่าราคาจะไม่ปรับไปต่ำเหมือนในอดีตสอดคล้องกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องปรับขึ้นราคาขายโซลเว้นท์มาตั้งแต่เดือนพ.ค. ประมาณ 10-15% และคาดว่าจะปรับขึ้นราคาขายโซลเว้นท์อีก 3-5% ในครึ่งปีหลังนี้
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท หากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 นี้ออกมาดี บริษัทฯก็จะปรับเป้ายอดขายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่ำเป็น 2.7 พันล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 2-2.5% เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ถึง 2%
สาเหตุที่ยอดขายบริษัทฯได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากราคาโซลเว้นท์ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งได้รับอานิสงส์จากการทำตลาดส่งออกโซลเว้นท์ในเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และภูมิภาคนี้ โดยผลิตภัณฑ์ส่งออกหลักจะมาจากบริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัดที่เข้าใจว่าจะดีเลย์เล็กน้อยหลังจากโรงงานมีอุบัติเหตุ รวมทั้งการทำตลาดโซลเว้นท์บางตัวในเวียดนามที่ได้รับจากเอสโซ่ นอกเหนือจากการทำตลาดน้ำมันเครื่องในภาคอีสาน เว้นนครราชสีมา ที่ประเมินว่าจะมีรายได้จากทำตลาดน้ำมันเครื่องภาคอีสานปีละ 120 ล้านบาท
"ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้ลงนามสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายให้บริษัท พีทีที ฟีนอล และน้ำมันเครื่องของเอสโซ่ ในภาคอีสาน ซึ่งได้เจรจาและเรามั่นใจว่าจะได้ โดยเบื้องต้นมองรายได้จากน้ำมันเครื่องเอสโซ่ภาคอีสาน 120 ล้านบาท และการทำตลาดเคมีภัณฑ์จากฟีทีที ฟีนอล ปีละ 300-400 ล้านบาท "นายพีรเจต กล่าว
นายพีรเจต สุวรรณนภาศรี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเนี่ยน ปิโตรเคมีคอล จำกัด (มหาชน)(UKEM) เปิดเผยความคืบหน้าในการหาพันธมิตรในการก่อสร้างโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์สารละลาย(โซลเว้นท์) ว่าขณะนี้ได้มีบริษัทต่างชาติอีก 3 รายทั้งจีนและเกาหลี สนใจที่จะเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรในโครงการผลิตสารเอทิล อะซิเตรด(EAC) และบิวทิว อะซิเตรด (BAC) โดยได้เสนอวัตถุดิบและแหล่งเงินทุน ดังนั้นบริษัทฯคงต้องพิจารณาคัดเลือกพันธมิตรใหม่อย่างรอบคอบ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 3/2551 เลื่อนจากเดิมที่เคยตั้งเป้าหมายจะหาพันธมิตรใหม่ให้แล้วเสร็จในไตรมาสนี้
" เดิมบริษัทได้มีการเจรจากับพันธมิตรหลายราย ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และสหรัฐฯ แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ จนมีการคัดเลือกเหลือเพียง 2 ราย แต่ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้มี 3บ ริษัทที่สนใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตร ทำให้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากบริษัทฯไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตโซลเว้นท์ นอกจากนี้ เชื่อว่าราคาเหล็กและสแตนเลสน่าจะปรับตัวลงหลังพ้นโอลิมปิคที่ปักกิ่ง จึงน่าจะเป็นจังหวะเหมาะในการตัดสินใจ ทำให้ต้นทุนก่อสร้างลดลง "
การตัดสินใจจะลงทุนตั้งโรงงานผลิตโซลเว้นท์ดังกล่าว เนื่องจากเป็นเคมีภัณฑ์ที่ยังไม่มีการผลิตในประเทศ โดยแต่ละปีไทยมีความต้องใช้ถึงปีละ 5 หมื่นตันใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบ ซึ่งเดิมบริษัทมีแผนจะลงทุนแบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรก จะผลิต 3 หมื่นตันและเฟส 2 อีก 2 หมื่นตัน แต่ทั้งนี้อาจปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับการเจรจาพันธมิตรใหม่ คาดว่าใช้เวลาก่อสร้าง 1 ปีครึ่ง คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท สำหรับพื้นที่ตั้งโรงงานนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะตั้งที่จ.ฉะเชิงเทรา หรือปราจีนบุรี
นายพีรเจต กล่าวต่อไปว่า ราคาโซลเว้นท์ในตลาดโลกได้ปรับเพิ่มขึ้น หลังจากผู้ผลิตในต่างประเทศ ระบุว่าราคาจะไม่ปรับไปต่ำเหมือนในอดีตสอดคล้องกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทฯต้องปรับขึ้นราคาขายโซลเว้นท์มาตั้งแต่เดือนพ.ค. ประมาณ 10-15% และคาดว่าจะปรับขึ้นราคาขายโซลเว้นท์อีก 3-5% ในครึ่งปีหลังนี้
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท หากผลการดำเนินงานไตรมาส 2 นี้ออกมาดี บริษัทฯก็จะปรับเป้ายอดขายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่ำเป็น 2.7 พันล้านบาท และปีนี้คาดว่าจะมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 2-2.5% เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ถึง 2%
สาเหตุที่ยอดขายบริษัทฯได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากราคาโซลเว้นท์ได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งได้รับอานิสงส์จากการทำตลาดส่งออกโซลเว้นท์ในเอเชียตะวันออก เอเชียใต้ และภูมิภาคนี้ โดยผลิตภัณฑ์ส่งออกหลักจะมาจากบริษัท พีทีที ฟีนอล จำกัดที่เข้าใจว่าจะดีเลย์เล็กน้อยหลังจากโรงงานมีอุบัติเหตุ รวมทั้งการทำตลาดโซลเว้นท์บางตัวในเวียดนามที่ได้รับจากเอสโซ่ นอกเหนือจากการทำตลาดน้ำมันเครื่องในภาคอีสาน เว้นนครราชสีมา ที่ประเมินว่าจะมีรายได้จากทำตลาดน้ำมันเครื่องภาคอีสานปีละ 120 ล้านบาท
"ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้ลงนามสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายให้บริษัท พีทีที ฟีนอล และน้ำมันเครื่องของเอสโซ่ ในภาคอีสาน ซึ่งได้เจรจาและเรามั่นใจว่าจะได้ โดยเบื้องต้นมองรายได้จากน้ำมันเครื่องเอสโซ่ภาคอีสาน 120 ล้านบาท และการทำตลาดเคมีภัณฑ์จากฟีทีที ฟีนอล ปีละ 300-400 ล้านบาท "นายพีรเจต กล่าว
