ตลาดหลักทรัพย์ฯเผยผลประกอบการไตรมาส1/51บจ.ยอดขายยังโตต่อเนื่อง สวนทางกำไรสุทธิที่อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในบริษัทหลายแห่ง ด้านนักลงทุนต่างชาติซื้อต่อเนื่องเก็งกำไรงบไตรมาส1/51ดันดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น ด้านนักวิเคราะห์ เผย ลุ้นดัชนีทำนิวไฮด์วันนี้รับปัจจัยบวกในประเทศ-ต่างประเทศหนุน ด้านเอเชียซอฟท์ เคาะขายไอพีโอช่วงราคาสูงสุด 12 บาท จอง 20 -22 พ.ค.เทรด 29 พ.ค.นี้
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15 พ.ค.) ดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวันได้รับผลดีจากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น จากผ่อนคลายความกังวลอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น และผลประกอบการไตรมาส1/51ของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งกำไรโตต่อเนื่อง ดันดัชนีปิดที่ 855.61 จุด เพิ่มขึ้น 6.67จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.79% ปรับตัวสูงสุดระหว่างที่ 856 จุด ปรับตัวต่ำสุดระหว่างวันที่ 852.27จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,060.21 ล้านบาท
นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 667.51 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ155.22 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 512.30 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส1/51ของบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะมียอดขายเติบโตสูงขึ้นกว่าไตรมาส4/50 แต่ในส่วนของกำไรสุทธินั้น อาจจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น จากที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องแต่ก็มีบริษัทที่อยู่จะได้รับผลดีกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่าจะออกมาดีจากปีที่ผ่านมาได้มีการตั้งสำรองไว้หมดแล้ว จึงเชื่อว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนในเรื่องกำไรรวมของไตรมาส1นี้ ยังไม่สามารถที่จะประเมินได้ เพราะ ต้องขอรอดูตัวเลขของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มอื่นๆให้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนก่อน
" กำไรบจ.ไตรมาส1/51นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้เพราะ ต้องขอรอดูผลประกอบการบริษัทอื่นก่อน แต่จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลกระทบกับบริษัทที่มีต้นทุนดำเนินงานจากน้ำมัน ก็จะมีบริษัทที่ได้รับผลดีกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนของยอดขายก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง " นางภัทรียา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส4/50 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 422,154 ล้านบาท ลดลง 48,378 ล้านบาท หรือลดลง 10% หากไม่รวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ จะทำให้มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 2549 เพียง 4% ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนโดยรวม (SET และ mai)สามารถทำยอดขายได้ 6,089,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปี 2549 ที่มียอดขายรวม 5,582,039 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15พ.ค.)ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ จากคลายความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้น และผลประกอบการไตรมาส1/51ของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายบริษัทที่ประกาศออกมามีผลกำไรเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้น แต่มูลค่าการซื้อขาย(วอลุ่ม)ไม่ค่อยหนาแน่น เพราะวันนี้เป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายและมีวันหยุดติดต่อกัน3 วัน
" กำไร บจ.ในไตรมาส1/51 บริษัทยังไม่ได้มีการทำประมาณการ แต่การที่ บจ.หลายแห่งประกาศงบออกมาพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งผลการดำเนินงานไตรมาส1/51ของหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างออกมาดีเติบโต 20% และวานนี้นักลงทุนก็เข้ามาเก็งกำไรหุ้น ADVANC เพราะกำไรไตรมาส1/51เติบโต " นางสาวสุภากร กล่าว
สำหรับ แนวโน้มดัชนีฯวันนี้(16พ.ค.)คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหากได้รับผลดีจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ทำให้มีคลายความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้น และนักลงทุนยังคงเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของหุ้นรายบริษัทที่จะประกาศออกมาดี จึงส่งให้ดัชนีมีโอกาสที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮด์) โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 846 จุด แนวต้านที่ระดับ 860-890 จุด อย่างไรก็ตามบริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการทยอยขายหุ้นออกมา เพราะเมื่อดัชนีทำนิวไฮด์ก็จะปรับตัวลดลงมาเป็นการพักพักฐาน
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล บล.ธนชาต กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาดี ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรต่อเนื่อง และได้รับผลดีจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่อเมริกามีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้น
"ปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นคือผลประกอบการไตรมาส1/51มากกว่าปัจจัยต่างประเทศ ที่นักลงทุนคลายความกังวลปัญหาอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ออกมากต่ำกว่าคาดไว้ ส่วนหุ้นเก็งกำไรคลายความร้อนแรงลง หลังก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์เตรียมออกมาตรการดูและหุ้นเก็งกำไรที่จะนำรายชื่อหุ้นที่ติดรายชื่อเทิร์นโอเวอร์ลิตส์ของก.ล.ต.มาอ้างอิงในการดูแลหุ้นดังกล่าว " นายพิชัยกล่าว
สำหรับแนวโน้มดัชนีฯวันนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 10 จุด เพราะนักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะประกาศออกมา แต่อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างจากดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 850 จุด แนวต้านที่ระดับ 865-870 จุด
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับสูงขึ้น จากได้รับปัจจัยบวกจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาปรับตัวเพิ่มขึ้นดี ทำให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการเติบโตดี ส่งผลต่อราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่ม เทคโนโลยี กลุ่มธนาคาร และหุ้นพลังงานบางบริษัท
ทั้งนี้ สัญญาณทางด้านเทคนิคในช่วงที่สามารถเข้าไปซื้อหุ้นลงทุนระยะสั้น จากคลายความกังวลเรื่องดังกล่าวเห็นได้จากแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น โดยดัชนีวันนี้คาดว่าจะปรับตัวบวกต่อเนื่อง โดยให้จับตากลุ่มพลังงานหากยังปรับตัวบวกได้ต่อเนื่อง จะช่วยผลักให้ดัชนีไปทดสอบแนวต้าน 865 จุด โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 850 จุด และแนวต้านที่ 865 จุด
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแหว่งตัวในแดนบวกตั้งแต่เปิดการซื้อขาย ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ที่ได้รับผลดีจากดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 66 จุด ประกอบกับได้รับปัจจัยบวกในประเทศเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 1/51 ทำให้มีแรงซื้อในหุ้นรายตัวที่มีผลประกอบการดี เห็นได้จากกลุ่ม ไอซีที ที่ปรับตัวบวกเกือบ 2.2% มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวไม่มากนัก ซึ่งจะต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศและราคาน้ำมัน ซึ่งหากดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 850 จุด ให้ขายทำกำไร โดยประเมินแนวรับที่ระดับรับที่ 840 จุด และมีแนวต้านที่ 860 จุด
***เอเชียซอฟท์ขายหุ้นไอพีโอ 12 บาท
นายสุรัตน์ เตศรีประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO)ที่ 12 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นช่วงราคาสูงสุดของบริษัทที่กำหนดไว้ว่าราคาหุ้นจะอยู่ที่ 10-12 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น 75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท ในวันที่ 20 – 22 พฤษภาคม แบ่งเป็น เสนอขายแก่นักลงทุนรายย่อย 50% และนักลงทุนสถาบัน 50% โดยในส่วนของนักลงทุนสถาบันบริษัทจะเสนอขายแก่กองทุน Lombard Asia III 15 ล้านหุ้น โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯวันที่ 29 พฤษภาคมนี้
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15 พ.ค.) ดัชนีแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวันได้รับผลดีจากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น จากผ่อนคลายความกังวลอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น และผลประกอบการไตรมาส1/51ของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งกำไรโตต่อเนื่อง ดันดัชนีปิดที่ 855.61 จุด เพิ่มขึ้น 6.67จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.79% ปรับตัวสูงสุดระหว่างที่ 856 จุด ปรับตัวต่ำสุดระหว่างวันที่ 852.27จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,060.21 ล้านบาท
นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 667.51 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ155.22 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 512.30 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส1/51ของบริษัทจดทะเบียนคาดว่าจะมียอดขายเติบโตสูงขึ้นกว่าไตรมาส4/50 แต่ในส่วนของกำไรสุทธินั้น อาจจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น จากที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องแต่ก็มีบริษัทที่อยู่จะได้รับผลดีกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่าจะออกมาดีจากปีที่ผ่านมาได้มีการตั้งสำรองไว้หมดแล้ว จึงเชื่อว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนในเรื่องกำไรรวมของไตรมาส1นี้ ยังไม่สามารถที่จะประเมินได้ เพราะ ต้องขอรอดูตัวเลขของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มอื่นๆให้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนก่อน
" กำไรบจ.ไตรมาส1/51นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้เพราะ ต้องขอรอดูผลประกอบการบริษัทอื่นก่อน แต่จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลกระทบกับบริษัทที่มีต้นทุนดำเนินงานจากน้ำมัน ก็จะมีบริษัทที่ได้รับผลดีกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนของยอดขายก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง " นางภัทรียา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ไตรมาส4/50 บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวม 422,154 ล้านบาท ลดลง 48,378 ล้านบาท หรือลดลง 10% หากไม่รวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ จะทำให้มีกำไรสุทธิลดลงจากปี 2549 เพียง 4% ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนโดยรวม (SET และ mai)สามารถทำยอดขายได้ 6,089,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปี 2549 ที่มียอดขายรวม 5,582,039 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15พ.ค.)ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นต่างประเทศ จากคลายความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้น และผลประกอบการไตรมาส1/51ของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่หลายบริษัทที่ประกาศออกมามีผลกำไรเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรหุ้น แต่มูลค่าการซื้อขาย(วอลุ่ม)ไม่ค่อยหนาแน่น เพราะวันนี้เป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายและมีวันหยุดติดต่อกัน3 วัน
" กำไร บจ.ในไตรมาส1/51 บริษัทยังไม่ได้มีการทำประมาณการ แต่การที่ บจ.หลายแห่งประกาศงบออกมาพบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งผลการดำเนินงานไตรมาส1/51ของหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างออกมาดีเติบโต 20% และวานนี้นักลงทุนก็เข้ามาเก็งกำไรหุ้น ADVANC เพราะกำไรไตรมาส1/51เติบโต " นางสาวสุภากร กล่าว
สำหรับ แนวโน้มดัชนีฯวันนี้(16พ.ค.)คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหากได้รับผลดีจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ทำให้มีคลายความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้น และนักลงทุนยังคงเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของหุ้นรายบริษัทที่จะประกาศออกมาดี จึงส่งให้ดัชนีมีโอกาสที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮด์) โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 846 จุด แนวต้านที่ระดับ 860-890 จุด อย่างไรก็ตามบริษัทแนะนำให้นักลงทุนมีการทยอยขายหุ้นออกมา เพราะเมื่อดัชนีทำนิวไฮด์ก็จะปรับตัวลดลงมาเป็นการพักพักฐาน
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล บล.ธนชาต กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาดี ทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรต่อเนื่อง และได้รับผลดีจากตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากที่อเมริกามีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนคลายกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้น
"ปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นคือผลประกอบการไตรมาส1/51มากกว่าปัจจัยต่างประเทศ ที่นักลงทุนคลายความกังวลปัญหาอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่ออกมากต่ำกว่าคาดไว้ ส่วนหุ้นเก็งกำไรคลายความร้อนแรงลง หลังก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์เตรียมออกมาตรการดูและหุ้นเก็งกำไรที่จะนำรายชื่อหุ้นที่ติดรายชื่อเทิร์นโอเวอร์ลิตส์ของก.ล.ต.มาอ้างอิงในการดูแลหุ้นดังกล่าว " นายพิชัยกล่าว
สำหรับแนวโน้มดัชนีฯวันนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก 10 จุด เพราะนักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะประกาศออกมา แต่อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างจากดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 850 จุด แนวต้านที่ระดับ 865-870 จุด
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับสูงขึ้น จากได้รับปัจจัยบวกจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาปรับตัวเพิ่มขึ้นดี ทำให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการเติบโตดี ส่งผลต่อราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่ม เทคโนโลยี กลุ่มธนาคาร และหุ้นพลังงานบางบริษัท
ทั้งนี้ สัญญาณทางด้านเทคนิคในช่วงที่สามารถเข้าไปซื้อหุ้นลงทุนระยะสั้น จากคลายความกังวลเรื่องดังกล่าวเห็นได้จากแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น โดยดัชนีวันนี้คาดว่าจะปรับตัวบวกต่อเนื่อง โดยให้จับตากลุ่มพลังงานหากยังปรับตัวบวกได้ต่อเนื่อง จะช่วยผลักให้ดัชนีไปทดสอบแนวต้าน 865 จุด โดยประเมินกรอบแนวรับที่ 850 จุด และแนวต้านที่ 865 จุด
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแหว่งตัวในแดนบวกตั้งแต่เปิดการซื้อขาย ตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ที่ได้รับผลดีจากดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 66 จุด ประกอบกับได้รับปัจจัยบวกในประเทศเกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาส 1/51 ทำให้มีแรงซื้อในหุ้นรายตัวที่มีผลประกอบการดี เห็นได้จากกลุ่ม ไอซีที ที่ปรับตัวบวกเกือบ 2.2% มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวไม่มากนัก ซึ่งจะต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศและราคาน้ำมัน ซึ่งหากดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 850 จุด ให้ขายทำกำไร โดยประเมินแนวรับที่ระดับรับที่ 840 จุด และมีแนวต้านที่ 860 จุด
***เอเชียซอฟท์ขายหุ้นไอพีโอ 12 บาท
นายสุรัตน์ เตศรีประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทกำหนดราคาเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO)ที่ 12 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นช่วงราคาสูงสุดของบริษัทที่กำหนดไว้ว่าราคาหุ้นจะอยู่ที่ 10-12 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้ จะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น 75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1 บาท ในวันที่ 20 – 22 พฤษภาคม แบ่งเป็น เสนอขายแก่นักลงทุนรายย่อย 50% และนักลงทุนสถาบัน 50% โดยในส่วนของนักลงทุนสถาบันบริษัทจะเสนอขายแก่กองทุน Lombard Asia III 15 ล้านหุ้น โดยจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯวันที่ 29 พฤษภาคมนี้