xs
xsm
sm
md
lg

ผู้บริหารบลจ.-นักวิเคราะห์ จี้จับตาเงินทุน-ราคาน้ำมัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้บริหารบลจ.-นักวิเคราะห์ ฟันธงวิกฤตซับไพรม์ยังไม่จบ กดดันให้สถาบันการเงินสหรัฐฯ ต้องเพิ่มทุนอีกระลอก แม้นักลงทุนจะคลายความกังวลไปบ้างแล้ว พร้อมแนะจับตาเงินทุนไหลและราคาน้ำมันดิบ พร้อมเผยกลยุทธ์การลงทุนหุ้น Small Cap และการจัดพอร์ตการลงทุนแบบมืออาชีพ

นายวิชชุ จันทาทับ ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าว ในงานสัมมนาเรื่อง "วิเคราะห์สูตรลงทุนหุ้น Small Cap2" ว่า ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (ซับไพรม์) ยังไม่จบ อาจทำให้สถาบันการเงินในสหรัฐฯ ต้องเพิ่มทุนอีกครั้ง ซึ่งจะส่งต่อตลาดหุ้นเป็นระยะ แต่นักลงทุนได้คลายความกังวลไปบ้างแล้ว ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 4/51 หรือต้นปี 52 โดยตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวก่อนในไตรมาส 3/51

สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศคงไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มชินกับปัญหาดังกล่าว แต่ขอให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องจับตาในช่วงนี้คือ ราคาน้ำมันดิบ ซึ่งหากราคาปรับเพิ่มขึ้นถึง 130-140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เศรษฐกิจโลกจะถูกกดดันด้วยปัญหาเงินเฟ้อ สังเกตได้จากวันก่อนที่ราคาน้ำมันดิบยืนเหนือ 120 ดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ดัชนีดาวน์โจนส์ติดลบ 206 จุด

นายวิชชุ กล่าวว่า การบริหารพอร์ตที่เหมาะสมนักลงทุนควรแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 40-40-20 โดย 40% แรกลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) อีก 40% ลงทุน Small Cap (หุ้นที่ไม่ได้อยู่ใน SET 100 และหุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ) ที่เหลือ 20% เป็นส่วน Trading

"นักลงทุนไม่ควรมีหุ้นในพอร์ตมากเกินไป หรือประมาณ 20-30 ตัว โดยหุ้น Big Cap ให้เลือกตัวที่ดีที่สุดในกลุ่มนั้นๆ และมีหุ้น Small Cap ประมาณ 10 ตัว โดยต้องถือระยะยาวและปล่อยให้บริษัทมีระยะเวลาเติบโต 2-3 ปี"

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มการตรึงดอกเบี้ย หรืออย่างมากจะปรับลดอีก 0.25% หลังจากนั้นจะตรึงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนยังตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย

ขณะที่เงินดอลลาร์ที่เริ่มแข็งค่าขึ้น สวนทางกับค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลง ทำให้นักลงทุนบางส่วนกู้เงินเยนเพื่อมาซื้อหุ้นในเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งเมื่อหุ้นพลังงานขึ้น ตลาดหุ้นไทยจะปรับขึ้นด้วย แต่หากราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง นักลงทุนอาจจะขายหุ้นพลังงานเพื่อนำเงินไปใช้คืนเงินกู้สกุลเงินเยน โดยประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามในช่วงนี้ คือ การไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ และราคาน้ำมันดิบ

สำหรับเทคนิคการเลือกหุ้น Small Cap ที่ดีมี 3 ข้อ ได้แก่ 1.เลือกหุ้นที่ในอนาคตอุตสาหกรรมมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี 2.มีค่า P/E ต่ำ และ 3.Dividend Yield สูง โดยแนะนำการจัดพอร์ตสำหรับนักลงทุนดังนี้ 35% ลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี อีก 35% ลงทุนในหุ้น Small Cap อีก 25% ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ให้ซื้อผ่านกองทุน และอีก 5% ลงทุนหุ้นเก็งกำไรและตราสารอนุพันธ์

ทั้งนี้ในช่วง 1-2 เดือนนี้ ยังคงไม่เหมาะสมที่จะลงทุนในหุ้น Small Cap (มาร์เกตแคปต่ำกว่า 5 พันล้านบาท) เนื่องจากเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามา ซึ่งโดยปกติจะเข้ามาให้หุ้นขนาดใหญ่ จะทำให้หุ้นขนาดเล็กลดความน่าสนใจลงไป แต่หากพิจารณาดูแล้วมีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ที่กล่าวมาทั้ง 3 ประการก็สามารถซื้อได้เลยไม่ต้องรอเวลา

ด้านนายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาด บล.ธนชาต กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อคือปัจจัยเสี่ยงในช่วงนี้ แต่ประเทศไทยจะโชคดีกว่าประเทศอื่น เนื่องจากเป็นประเทศส่งออกอาหาร ทำให้ราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นชดเชยกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยมองว่าปีนี้ GDP จะโตได้อย่างต่ำ 5% ขณะที่การลงทุนและการบริโภคจะดีขึ้น ส่วนการส่งออกยังพอไปได้แม้ไม่ดีเหมือนปีที่แล้วก็ตาม

สำหรับปัญหาซับไพรม์ประเมินว่าจุดที่แย่สุดจะเป็นช่วงกลางปี แต่ความกลัวของนักลงทุนได้ผ่านจุดที่แย่สุดไปแล้ว ซึ่งจากนโยบายการเงิน-การคลังของสหรัฐฯ คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวปลายปีนี้

"ตลาดหุ้นไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น จากอัตราดอกเบี้ยผ่านช่วงขาลงไปแล้ว จะทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรกลับมาสู่ตลาดหุ้น รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเริ่มเห็นผลและช่วยกระตุ้นตลาดหุ้นด้วย"

ส่วนหุ้น Small Cap มองว่ามีความน่าสนใจ เนื่องจากมีการเติบโตที่รวดเร็ว รวมถึงความผันผวนจากเงินทุนต่างชาติค่อนข้างต่ำ และการที่ถูกมองข้ามจากนักลงทุนและนักวิเคราะห์ทำให้ราคายังต่ำกว่าความเป็นจริง แต่นักลงทุนต้องเลือกหุ้นให้ดี ศึกษาให้ระเอียดเปรียบเทียบระหว่างค่า P/E กับอัตราการเติบโตของกำไรใน 3-4 ข้างหน้า ซึ่งหากมี Dividend Yield ด้วยยิ่งดี

โดยการจัดพอร์ตการลงทุนที่แนะนำ คือ 20% ลงทุนใน LTF และ RMF อีก 5-10% ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ อีก 30% ลงทุนในหุ้น Big Cap โดยเลือกตัวที่ดีที่สุด อีก 25% ลงทุนหุ้น Small Cap และอีก 20% เป็นส่วน Trading
กำลังโหลดความคิดเห็น