ACAP เผย IFC เตรียมเข้าถือหุ้นบริษัท 5% ภายใน พ.ค.นี้ ด้วยการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ใช่กลุ่มผู้บริหาร เชื่อหนุนการเปิดตลาดต่างประเทศของบริษัท พร้อมลุยมาเลเซียและฟิลิปปินส์ คาดรายได้ปีนี้โต 100% ที่ 1 พันล้านบาท พร้อมเข้าประมูลสินทรัพย์ด้อยคุณภาพปีนี้ 3 แห่ง มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีดีล IB แล้วเสร็จปีนี้ 4-5 ดีล สร้างรายได้ 70-80 ล้านบาท
ดร.วิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP เปิดเผยว่า The International Finance Corporation หรือ IFC ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มธนาคารโลก จะเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทประมาณ 5% โดยจะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ใช่กลุ่มตระกูลวิฑูรย์เธียรและกลุ่มผู้บริหารของบริษัท คาดว่าจะเสร็จในเดือนนี้ และบริษัทไม่ออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ IFC เนื่องจากยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนในช่วงนี้
"เราคุยกับ IFC มาเกือบ 1 ปีก่อนจะมีข้อสรุปในวันนี้ ซึ่งการเข้ามาของ IFC ที่มีเครือข่ายทั่วโลก จะทำให้เรามีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือระดับโลก ทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักในระดับสากลและสามารถออกไปรับงานต่างประเทศได้มากขึ้น รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยพัฒนาผู้บริหารและบุคลากรของบริษัทได้"นายวิวัฒน์กล่าว
สำหรับ การลงทุนในต่างประเทศช่วงแรกคงเป็นการรับจ้างบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ แต่ในอนาคตเมื่อบริษัทมีความพร้อมก็อาจเข้าไปร่วมลงทุนกับ IFC หรือพาร์ทเนอร์อื่น ๆ ส่วนประเทศที่จะเข้าไปลงทุนยังมองมาเลเซีย เพราะเชื่อว่ามีศักยภาพที่จะขยายธุรกิจได้อีกในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ขณะที่ประเทศต่อไปอาจเป็นอินโดนีเซียและจีนซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการดำเนินงานปีนี้เติบโต 100% ที่ 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าก่อนที่ IFC จะเข้ามาถือหุ้นบริษัท ส่วนรายได้ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงานยังไม่สามารถระบุได้ เพราะอยู่ที่การบันทึกบัญชี โดยปีก่อนบริษัทมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน 300 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนรายได้จะมาจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 40-45% สินเชื่อบุคคล 35% และที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจ 20%
ปัจจุบัน ACAP มีพอร์ตสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริหารอยู่ 40,000 ล้านบาท โดย 25,000 ล้านบาท อยู่ในมาเลเซีย และส่วนที่เหลืออยู่ในไทย โดยในปีนี้จะเข้าประมูลงานอีก 2-3 แห่ง มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้งานประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้จะมีงานที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจแล้วเสร็จ 4-5 ดีล จาก 10 ดีลที่มีอยู่ โดยคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 70-80 ล้านบาท และทยอยรับรู้ในไตรมาส 3-4 ปีนี้
ดร.วิวัฒน์ วิฑูรย์เธียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอแคป แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ ACAP เปิดเผยว่า The International Finance Corporation หรือ IFC ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มธนาคารโลก จะเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทประมาณ 5% โดยจะซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมที่ไม่ใช่กลุ่มตระกูลวิฑูรย์เธียรและกลุ่มผู้บริหารของบริษัท คาดว่าจะเสร็จในเดือนนี้ และบริษัทไม่ออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ IFC เนื่องจากยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนในช่วงนี้
"เราคุยกับ IFC มาเกือบ 1 ปีก่อนจะมีข้อสรุปในวันนี้ ซึ่งการเข้ามาของ IFC ที่มีเครือข่ายทั่วโลก จะทำให้เรามีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือระดับโลก ทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักในระดับสากลและสามารถออกไปรับงานต่างประเทศได้มากขึ้น รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยพัฒนาผู้บริหารและบุคลากรของบริษัทได้"นายวิวัฒน์กล่าว
สำหรับ การลงทุนในต่างประเทศช่วงแรกคงเป็นการรับจ้างบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ แต่ในอนาคตเมื่อบริษัทมีความพร้อมก็อาจเข้าไปร่วมลงทุนกับ IFC หรือพาร์ทเนอร์อื่น ๆ ส่วนประเทศที่จะเข้าไปลงทุนยังมองมาเลเซีย เพราะเชื่อว่ามีศักยภาพที่จะขยายธุรกิจได้อีกในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ ขณะที่ประเทศต่อไปอาจเป็นอินโดนีเซียและจีนซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการดำเนินงานปีนี้เติบโต 100% ที่ 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าก่อนที่ IFC จะเข้ามาถือหุ้นบริษัท ส่วนรายได้ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงานยังไม่สามารถระบุได้ เพราะอยู่ที่การบันทึกบัญชี โดยปีก่อนบริษัทมีรายได้ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน 300 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนรายได้จะมาจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 40-45% สินเชื่อบุคคล 35% และที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจ 20%
ปัจจุบัน ACAP มีพอร์ตสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่บริหารอยู่ 40,000 ล้านบาท โดย 25,000 ล้านบาท อยู่ในมาเลเซีย และส่วนที่เหลืออยู่ในไทย โดยในปีนี้จะเข้าประมูลงานอีก 2-3 แห่ง มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้งานประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้จะมีงานที่ปรึกษาทางการเงินและวาณิชธนกิจแล้วเสร็จ 4-5 ดีล จาก 10 ดีลที่มีอยู่ โดยคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 70-80 ล้านบาท และทยอยรับรู้ในไตรมาส 3-4 ปีนี้